เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ 4 ปี ในบทบาทกุนซือ หงส์แดง

เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ 4 ปี ในบทบาทกุนซือ หงส์แดง

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน เดินทางมาถึงแอนฟิลด์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว และได้พา ลิเวอร์พูล คว้าถ้วยรางวัลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปครองได้สำเร็จเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา พร้อมกับพาพลพรรค “หงส์แดง” ครองตำแหน่งจ่าฝูงในศึกพรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ หลังจากผ่านไป 8 นัด ช่วยการเก็บ 24 คะแนนเต็ม

ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีแล้วที่ คล็อปป์ เข้ามาทำหน้าที่แทน แบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือ และเขานับเป็นโค้ชคนที่ 19 ของ ลิเวอร์พูล โดยเทรนเนอร์ชาวเยอรมัน ให้สัมภาษณ์กับสื่อชนหลังรับงานกับ “หงส์แดง” ในวันแรกว่า “ผมโชคดีมากที่ได้รับมรดกทีมที่ผมต่อจาก แบรนแดน ร็อดเจอร์ส เขาสร้างทีมด้วยเอกลักษณ์ และวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน”

ก่อนจะถูกปลดจากตำแหน่ง ร็อดเจอร์ส สูญเสียสไตล์การทำทีมของเขาไปอย่างมากในปีสุดท้ายที่เมอร์ซี่ย์ไซด์ และเขาเซ็นสัญญากับผู้เล่นที่ขัดแย้งกับแนวทางของเขาเอง รวมถึงนักเตะที่มีรูปแบบที่ไม่เหมาะกับ ลิเวอร์พูล

คริสเตียน เบนเตเก้ กองหน้าชาวเบลเยียม ถูกเซ็นสัญญามาจาก แอสตัน วิลล่า โดย ร็อดเจอร์ส แต่คณะกรรมการสรรหานักเตะของ ลิเวอร์พูล ได้เลือกซื้อตัว โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ หัวหอกทีมชาติบราซิล ซึ่งปัจจุบันดาวเตะแซมบ้า กลายเป็นผู้เล่นหลักในแนวรุกของ “หงส์แดง” ในยุค คล็อปป์

เฟอร์มิโน่ เป็นหนึ่งในผู้เล่นในทีม ลิเวอร์พูล ชุดปัจจุบันที่หลงเหลือจากยุคของ ร็อดเจอร์ส รวมไปถึงบรรดาผู้เล่นชาวอังกฤษ อดัม ลัลลาน่า และจอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์ 3 กองกลาง และ โจ โกเมซ กองหลังดาวรุ่ง

ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของ ร็อดเจอร์ส กับ ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้อำนวยการด้านการกีฬาของ ลิเวอร์พูล ก็ดูซับซ้อน โดยมีข่าวลือจากหนังสือพิมพ์อังกฤษฉบับหนึ่งที่เคยเขียนว่า คณะกรรมการสรรหานักเตะของ “หงส์แดง” ไม่ยอมอธิบายว่าทำไมพวกเขาถึงซื้อตัว เฟอร์มิโน่ ด้วยตัวเลข 29 ล้านปอนด์

ตอนนี้คำพูดเหล่านั้นดูน่าหัวเราะ ทัศนคติและการยอมรับของ คล็อปป์ กับบทบาทและวิธีการของ เอ็ดเวิร์ดส์ เป็นหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญ 4 ปี ในการเข้ามาทำงานในถิ่นแอนฟิลด์ของอดีตกุนซือ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จนถึงเวลานี้

ย้อนกลับไปในการพ่ายแพ้การแข่งขันยูโรป้า ลีก ปี 2016 รอบชิงชนะเลิศ “2 ชั่วโมงที่แล้วคุณทุกคนรู้สึกอึ้งเหมือนกับเรา เป็นเพียงการเริ่มต้นสำหรับเรา เราจะเล่นในรอบชิงชนะเลิศอีกหลายๆครั้ง” คล็อปป์ กล่าวหลังจากพ่ายแพ้ให้ เซบีญ่า 1-3 ในยูโรป้า ลีก รอบชิงชนะเลิศ ในฤดูกาลแรกของเขา ทั้งที่ขึ้นนำไปก่อน 1-0 ในครึ่งแรก

ลิเวอร์พูล ได้เข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศในทุกฤดูกาลของฟุตบอลยุโรป ภายใต้การคุมทีมของ คล็อปป์ และความพ่ายแพ้ใน บาเซิล พิสูจน์ให้ผู้เล่น “หงส์แดง” เห็นว่าภาพอนาคตที่ใหญ่ขึ้นมีความสำคัญมากกว่า และปลูกฝังความเชื่อในหมู่นักเตะว่า โค้ชเยอรมัน จะทำให้แน่ใจว่า พวกเขาจะทำสิ่งที่ดีกว่าเดิมในทุกๆปี

“ในขณะนั้นผมรู้สึกว่าเขามั่นใจในการพาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในทุกๆปี” เฮนเดอร์สัน กล่าวหลังเกมแพ้ เรอัล มาดริด 1-3 ในนัดชิงชนะเลิศศึกฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2017 การพ่ายแพ้นั้นเป็นเรื่องยากที่จะต้องใช้เวลาในการยอมรับ แต่บางทีก็พิสูจน์ได้ว่ามันจะเป็นความมุ่งมั่นสำหรับ ลิเวอร์พูล ในปีต่อไป

การกลับมาเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลแรกของ คล็อปป์ กับ ลิเวอร์พูล แบบเต็มซีซั่น นั้น มันเป็นเรื่องของความคิด ไอเดีย และวิธีการฝึกซ้อมยังไม่ได้นำมาใช้ในสนาม และทุกๆอย่างมันเดินหน้าเร็วเกินไป แต่นายใหญ่ “หงส์แดง” มีเวลามากขึ้นที่จะปรับปรุงวิธีการของเขาที่เมลวู้ด

ในยุคของ คล็อปป์ นั้น ลิเวอร์พูล แทบจะไม่ล้มเหลวในการเซ็นสัญญากับนักเตะใหม่ พวกเขาพร้อมจะรอตัวเลือกที่ดี และเหมาะสมที่สุด สิ่งเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเขายืนยันที่จะรอคนที่ใช่ และพร้อมที่จะรอนักเตะคนนั้นหากจำเป็น

มันชัดเจนอย่างยิ่งกับการรออีก 6 เดือนเพื่อเซ็นสัญญากับ เวอร์จิล ฟาน ไดจค์ กองหลังทีมชาติฮอลแลนด์ มาจาก “นักบุญ” เซาแธมป์ตัน ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติโลกในเวลานั้น ในเดือนมกราคมปี 2018

เมื่อ ฟาน ไดจค์ มาถึงแอนฟิลด์ ในที่สุดเขาก็แสดงให้เห็นทุกคนเห็นว่า เขาเป็นผู้เล่นที่ ลิเวอร์พูล ต้องการมาอย่างยาวนาน และมันก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่ “หงส์แดง” จะเป็นทีมที่แกร่งเหมือนทุกวันนี้หากไม่มีเขายืนสั่งการในแนวรับ และทุกกคนในสโมสรรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสัญญาณที่ในอนาคต

คล็อปป์ ในฐานะผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล

การพ่ายแพ้ เรอัล มาดริด 1-3 ในนัดชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2017 คือ ความพ่ายแพ้นัดชิงฯ ครั้งที่ 3 ของ คล็อปป์ ในฐานะผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล และนับเป็นความพ่ายแพ้ในนัดชิงฯครั้งที่ 6 ติดต่อกันในฐานะกุนซือ

หลังจบเกมที่พ่าย มาดริด ทุกคนเห็นวิดิโอที่ คล็อปป์ ร้องเพลงอย่างสนุกสนานด้วยรอยยิ้มในเช้าของวันรุ่งขึ้น และในที่สุดอีก 1 ปีต่อมา เทรนเนอร์ชาวเยอรมัน สามารถนำถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ สมัยที่ 6 กลับมาที่แอนฟิลด์ได้สำเร็จ หลังเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-0 ในนัดชิงฯ ที่มาดริด

อีกครั้งที่ คล็อปป์ ปลูกฝังความคิดในแนวทางของเขาให้กับลูกทีม และแฟนๆ ความพ่ายแพ้นั้นไม่ได้หมายถึงจุดจบสำหรับทีมนี้ เขาพูดหลายครั้งว่านักเตะกลุ่มนี้จะเติบโตไปด้วยกัน และเขียนเรื่องราวของตัวเองในประวัติศาสตร์ของ ลิเวอร์พูล และพวกเขากำลังทำมัน

ขณะที่ ร็อดเจอร์ส ซึ่งปฏิเสธที่จะทำงานภายใต้ผู้อำนวยการด้านฟุตบอล เมื่อ FSG เจ้าของทีม ลิเวอร์พูล เตรียมแต่งตั้ง หลุยส์ ฟาน กัล เข้ามาทำหน้าที่นั้น มันจึงทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างตามมาจากการตัดสินใจแปลกๆของ โค้ชชาวไอร์แลนด์แหนือ

ในเวลานั้น ร็อดเจอร์ส เริ่มคิดจะขาย แดเนียล สเตอร์ริดจ์ หัวหอกชาวอังกฤษ ที่มีอาการบาดเจ็บเรื้อรัง และพยายามขาย เฮนเดอร์สัน ให้กับ ฟูแล่ม โดยหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการเซ็นสัญญากับ คลิ้นต์ เดมพ์ซีย์ ตัวรุกชาวอเมริกันวัย 29 ปี แต่ทุกอย่างไม่เกิดขึ้น

ในทางกลับกัน คล็อปป์ ได้นำเอารูปแบบผู้อำนวยการด้านการกีฬา ซึ่งเขาคุ้นเคยมาจาก ดอร์ทมุนด์ และได้พูดคุยกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับทีมนักวิเคราะห์ นอกจากนี้ เบื้องหลัง คล็อปป์ ได้เปิดเผยบทบาทของทีมแมวมอง ลิเวอร์พูล ที่แนะนำให้เขาคว้าตัว โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ปีกชาวอิยิปต์ มาร่วมทีม

คล็อปป์ ยกย่อง จอห์น อัชเตนเบิร์ฏ โค้ชผู้รักษาประตู ลิเวอร์พูล อยู่เสมอ รวมถึงให้เครดิตกับทีมงานทุกคน อาทิ นักวิเคราะห์ของสโมสรสำหรับการพัฒนาการเตะฟรีคิก ของ เฟลิเป้ คูตินโญ่ อดีตจอมทัพชาวบราซิล

นอกจากนี้ การมาถึงของนักโภชนาการ โมนาร์ เนมเมอร์ และ อันเดรส คอร์นเมเยอร์ โค้ชฟิตเนส นั้น ได้สร้างประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับ ลิเวอร์พูล ด้วย และ คล็อปป์ กระตือรือร้นที่จะให้แน่ใจว่า เขามีผู้เชี่ยวชาญอยู่รอบตัวเขา เขารู้ถึงประโยชน์ของวิธีการทำงานร่วมกัน นี่เป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลงของเขาใน เมอร์ซีย์ไซด์

ขณะเดียวกัน เอาชนะ บาร์เซโลน่า 4-0 ในเลก 2 ของรอบรองฯศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปีที่ผ่านมานั้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างมาก ข้อความ“อย่ายอมแพ้” บนเสื้อยืดของ ซาลาห์ และเจ้าหน้าที่ของ ลิเวอร์พูล ไปรวมตัวกันที่สนามแอนฟิลด์หลังจบเกม นั่นคือคืนที่น่าทึ่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรในยุโรป

ในเกมกับ บาร์เซโลน่า นั้น ซาลาห์ บาดเจ็บ เฟอร์มิโน่ ก็เช่นกัน แอนดี้ โรเบิร์ตสัน แบ็คซ้ายตัวเก่ง ก็บาดเจ็บในช่วงครึ่งแรก แต่มันเป็น คล็อปป์ ที่ได้ปลูกฝังความเชื่อเช่นนี้ในทีมว่า พวกเขาสามารถเอาชนะอุปสรรคใดๆ แม้จะแพ้ “เจ้าบุญทุ่ม” ในเลกแรก 3-0 ก็ตาม

ชัยชนะที่เหลือเชื่อนั้น ไม่ได้เป็นเพียงโอกาสเดียวที่น่าจดจำที่แอนฟิลด์ได้รับจาก คล็อปป์ มีการชนะด้วยสกอร์รวม 5-4 เหนือ ดอร์ทมุนด์ ในฟุตบอลยูโรป้า ลีก หลังจากต้องการ 3 ประตูเพื่อเข้ารอบชิงฯ โดยเหลือเวลาอีก 25 นาที และชัยชนะ 3-0 เหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในแชมเปี้ยนส์ ลีก

ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเหล่านั้น แสดงให้เห็นถึงพลังของ คล็อปป์ และ ลิเวอร์พูล ที่กำลังกระจายไปทั่วยุโรป โดยนายใหญ่ชาวเยอรมัน ประกาศในวันที่เขาเปิดตัวว่า “ถ้าผมอยู่ที่นี่ 4 ปี ผมค่อนข้างมั่นใจว่า เราจะมีแชมป์ 1 รายการ”

คล็อปป์ ส่งมอบถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จแล้ว ซึ่งถือเป็นถ้วยใหญ่ในรอบหลายปีของพวกเขา และเขากำลังฟื้นฟู “หงส์แดง” สู่จุดสูงสุดของฟุตบอลยุโรป

คล็อปป์ ส่งมอบถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ ลิเวอร์พูล

เนื้อหาใกล้เคียง