ความผิดพลาดของ อูไน เอเมอรี่ ในทัพ ไอ้ปืนใหญ่

ความผิดพลาดของ อูไน เอเมอรี่ ในทัพ ไอ้ปืนใหญ่

ในเดือนสิงหาคมของปีที่แล้วไม่กี่วันก่อนที่ อูไน เอเมอรี่ โค้ชชาวสเปน จะเข้ามาทำหน้าที่ในฐานะกุนซือของ อาร์เซน่อล อย่างเป็นทางการ ด้วยการพา “ไอ้ปืนใหญ่” เปิดรังเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เผชิญหน้ากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้น เขาสรุปวิสัยทัศน์ของตัวเองสำหรับทีม และอธิบายว่าเขาตั้งใจจะเปลี่ยนแนวทางอย่างไร

เอเมอรี่ กล่าวกับ “สกายสปอร์ต” สื่อกีฬาชั้นนำแดนผู้ดีว่า “สไตล์ของเรา คือการใช้ลูกบอลทำงานเป็นหลัก และทำสิ่งต่างๆด้วยการรวมกันเพื่อควบคุมการแข่งขันด้วยการวางตำแหน่งของลูกบอล เมื่อเรามีพื้นที่ว่าง เราจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อบุก และสิ่งแรกคือการจัดระเบียบทีม และเอาบอลคืนมาอย่างรวดเร็ว”

เทรนเนอร์ชาวสเปน แพ้เกมแรกให้กับ แมนฯซิตี้ ในการคุมทีม แต่ความดุดันที่เพิ่มขึ้น และความมุ่งมั่นของ อาร์เซน่อล ในการขึ้นเกมจากแนวรับนั้น อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นหลักฐานของความคิดที่เขาตั้งใจจะนำไปใช้

ในเกมต่อมา เอเมอรี่ พา อาร์เซน่อล บุกไปแพ้ เชลซี 3-2 ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ พวกเขาแพ้ 2 เกมติดโดยไม่มีคะแนน แต่หลังจากหลายปีที่ผ่านมาภายใต้การคุมทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตกุนซือชาวฝรั่งเศส นั้น ในที่สุดมันก็รู้สึกราวกับว่า พวกเขามีแผนจุดเริ่มต้นของวิธีการที่ทันสมัยกว่าเดิม

อาร์เซน่อล ยังคงขึ้นเกมจากด้านหลัง แต่พวกเขาไม่ได้ทำมันอย่างสม่ำเสมอหรือดีขึ้นกว่าเดิม พวกเขาสูญเสียการครอบครองบอลในแนวรับถึง 13 ครั้งในเกมที่บุกไปพ่าย ลิเวอร์พูล 3-1 ที่สนามแอนฟิลด์ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน การสูญเสียการครอบครองบอลในแนวรับของ อาร์เซน่อล นั้น มันเป็นตัวเลขที่มากที่สุดในบรรดาทีมในพรีเมียร์ลีก จากนั้น สถิติดังกล่าวมันเกิดขึ้นอีกครั้งในเกมที่เสมอกับ วัตฟอร์ด 2-2 ซึ่งพวกเขาเสียบอลไป 12 ครั้ง และในเกมกับ เซาแธมป์ตัน อีก 9 ครั้ง

ในขณะที่คุมทีม อาร์เซน่ล นั้น เอเมอรี่ เคยกล่าวเกี่ยวกับความต้องการของเขาที่อยากให้พลพรรค “ไอ้ปืนใหญ่ กำหนดเกมการเล่นของตัวเอง โดยระบุว่า “เราพยายามปรับเกมให้เข้ากับคู่ต่อสู้ของเรา เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าถึงแต่ละเกม โดยคำนึงถึงผู้เล่นของเรา ระบบของเรา และความคิดของเรา”

ความตั้งใจของ เอเมอรี่ คือการเอาชนะฝ่ายตรงข้ามของ อาร์เซน่อล เพื่อลบล้างจุดแข็ง และใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของพวกเขาไปพร้อมๆกัน แต่กลับกลายเป็นว่าเขาสับสนกับการใช้ผู้เล่นของเขาเอง และการเปลี่ยนแปลงมักตามมาด้วยความเสียหายที่ร้ายแรง

ทีมของ เอเมอรี่ แสดงท่าทีตอบโต้การโจมตีคู่แข่งที่ติดอันดับท็อป 6 ของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพบกับ เชลซี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในฤดูกาลที่แล้ว แต่ความสงสัยเริ่มมากขึ้นเมื่อสถานการณ์ต้องการสิ่งที่แตกต่างกัน

อดีตนายใหญ่ “เดอะ กันเนอร์ส” เคยพูดเกี่ยวกับการส่งพลังงาน ความหลงใหล และความมุ่งมั่นที่จะชนะในเกม และพูดเกี่ยวกับการทำให้แฟนๆภูมิใจ และสร้างความหวัง และความตื่นเต้นในเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม แต่มันก็ไม่เป็นไปตามที่เขาหวังเอาไว้

บ่อยครั้งที่รู้สึกว่า ทีมของ เอเมอรี่ เล่นเพื่อหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ อาร์เซน่อล สูญเสียแรงผลักดันในเกม หลังจากที่พวกเขาขึ้นนำคู่แข่งไปก่อน และมันก็เป็นเหตุผลว่า ทำไม “ไอ้ปืนใหญ่” เก็บชัยชนะได้เพียง 4 เกมเท่านั้น จาก 14 นัดที่ผ่านมาในซีซั่นนี้

ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าวิธีการบริหารบุคลากรของ เอเมอรี่ จะสับสน และสรุปได้ดีที่สุดจากสถานการณ์ของ กรานิต ชาก้า กองกลางชาวสวิตเซอร์แลนด์ ที่ตอบโต้อย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อเขาถูกโห่ไล่จากแฟนบอล “เดอะ กันเนอร์ส” ในเกมกับ คริสตัล พาเลซ ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

วิธีการบริหารบุคลากรของ เอเมอรี่ จะสับสน

ชาก้า ซึ่งเป็นบุคคลที่สร้างความแตกแยกอย่างหนักในหมู่แฟนบอล อาร์เซน่อล ต้องเผชิญกับภารกิจที่ยากยิ่งกว่าในการเอาชนะใจพวกเขา หลังจากการแสดงความยั่วยุเมื่อเขาเดินออกจากสนามอย่างช้าๆพร้อมกับเอามือป้องหูของตัวเองขณะที่แฟนบอลโห่ใส่

แม้ว่า ชาก้า จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เอเมอรี่ สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยสิ้นเชิงด้วยการถอดแข้งสวิสฯ ออกจากตำแหน่งกัปตันทีม และมอบปลอกแขนให้กับคนอื่นทำหน้าที่แทน ซึ่งทั้งหมดกลายเป็นเรื่องสำคัญ และเพิ่มความรู้สึกทั่วไปของความไม่แน่นอนรอบๆสโมสร

ในกรณีของ เมซุต โอซิล จอมทัพชาวเยอรมัน ก็เช่นกัน เอเมอรี่ มักดร็อปเขาอย่างไม่มีเหตุผล โดยระบุว่า อดีตแข้ง เรอัล มาดริด ซ้อมได้ไม่ดีนัก และนั่นทำให้แฟนบอล “เดอะ กันเนอร์ส” หลายคนไม่พอใจที่ไม่ส่งนักเตะขวัญใจพวกเขาลงสนาม

อย่างไรก็ตาม ข้อดีอย่างหนึ่งในยุคของ เอเมอรี่ คือ ความตั้งใจของเขาที่จะหันไปใช้งานนักเตะดาวรุ่ง อาทิ มัตเตโอ เก็นดูซี่ กองกลางชาวฝรั่งเศส ได้กลายเป็นกำลังหลักในแดนกลางของ อาร์เซน่อล เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่คนอื่นๆอย่าง โจ วิลล็อค, บูกาโน ซาก้า, รีส เนลสัน และ เกรียล มาร์ติเนลลี่ มีโอกาสลงสนามมากขึ้นในซีซั่นนี้

อีกครั้งแม้ว่าจะมีเครื่องหมายคำถามเกี่ยวกับวิธีการของ เอเมอรี่ นั้น แต่เขาก็มีความมั่นใจ และการให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งพัฒนาฝีเท้า โดย วิลล็อค ได้ลงเล่นติดต่อกันถึง 2 เกม ในการพบกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และวิคตอเรีย กิมาไรซ์ ก่อนจะโดนดร็อปในเกมต่อมากับ คริสตัล พาเลซ

ในขณะที่ ซาก้า โชว์ผลงานได้อย่างสุดยอดในการเล่นเป็นปีกซ้ายให้กับ อาร์เซน่อล ในเกมที่บุกไปเสมอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-2 ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ในปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก่อนจะถูกจับมาเล่นเป็นกองกลางตัวรุกในเกมที่แพ้ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 1-0

สถานการณ์ของ ลูคัส ตอร์เรร่า กองกลางชาวอุรุกวัย ก็อยู่ในคำถามเช่นกัน เขาย้ายจาก ซามพ์โดเรีย มายัง อาร์เซน่อล เมื่อปีที่แล้ว และเคยติดอันดับหนึ่งใน 10 นักเตะยอดเยี่ยมของศึกกับโช่ เซเรีย อา โดยอดีตโค้ชคนหนึ่งระบุว่าแข้ง “จอมโหด” เป็นกองกลางที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรปรองจาก เซอร์จิโอ บุสเกตส์ ห้องเครื่อง บาร์เซโลน่า เพียงคนเดียวเท่านั้น

ฟอร์มการเล่นของ ตอร์เรร่า กับทีมชาติอุรุกวัย ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย ยกระดับโปรไฟล์ของเขา และฟอร์มการเล่นครั้งแรกของเขากับ อาร์เซน่อล นั้น บอกได้ว่าเขาจะมีบทบาทสำคัญในทีมของ เอเมอรี่

ในที่สุดดูเหมือนว่า อาร์เซน่อล จะได้พบผู้เล่นที่สามารถเติมเต็มตำแหน่งปัญหาในแดนกลางของพวกเขาได้ แต่มันกลายเป็นว่า ตอร์เรร่า หลุดออกจากทีมของ เอเมอรี่ ไปอย่างน่าแปลกใจ โดยดาวเตะวัย 23 ปี พึ่งได้เป็นตัวจริงในพรีเมียร์ลีก เพียง 5 เกมเท่านั้น

ขณะเดียวกันศักยภาพทั้งหมดของ ตอร์เรร่า ในตำแหน่งของเขานั้น ดูเหมือนว่า เอเมอรี่ จะไม่มองว่าเขาเป็นกองกลางตัวรับอีกต่อไป โดยเทรนเนอร์ชาวสเปน ระบุว่า แข้งชาวอุรุกวัย สามารถขยับขึ้นไปเล่นในแนวรุกหน้ากรอบเขตโทษคู่แข่งได้

ดูเหมือนว่า เอเมอรี่ จะเห็นบางสิ่งที่แตกต่างใน ตอร์เรร่า แต่แฟนๆมีสิทธิ์สงสัยว่าทำไมหนึ่งปีหลังจากย้ายมาร่วมทีม อาร์เซน่อล นั้น ผู้เล่นที่ยิงไปเพียง 4 ประตู ใน 77 เกมล่าสุดของเขากับสโมสร และทีมชาตินั้น ถูกจัดให้เป็นผู้เล่นแนวรุก และมันก็เป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มความผิดปกติของเดือนสุดท้ายที่ เอเมอรี่ รับผิดชอบ

ดูเหมือนว่า เอเมอรี่ จะเห็นบางสิ่งที่แตกต่าง

เนื้อหาใกล้เคียง