ช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ของ “หงส์แดง” กำลังกลับมาแล้ว

ช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ของ หงส์แดง กำลังกลับมาแล้ว

ความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นจากความเจ็บปวดเป็นเวลา 30 ปี ที่ไม่เคยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดจะถูกปลดปล่อยในอีกภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านั้น เป็นสิ่งที่ ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน พยายามอย่างชัดเจนที่จะเก็บมันไว้ในใจ

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์ เอาชนะ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมลีกเมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมานั้น มันก็ยิ่งตอกย้ำว่า พลพรรค “หงส์แดง” เหมาะสมแล้วที่จะคว้าแชมป์ในปีนี้

บรรดากูรูฟุตบอลแดนผู้ดีหลายคนต่างแสดงความคิดเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า การลุ้นแชมป์ลีกจบลงไปตั้งนานแล้ว และทีมตามอย่าง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อดีตแชมป์เก่าเมื่อปีที่แล้ว รวมไปถึง “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมอันดับ 3 นั้น ไม่มีทางทำคะแนนไล่ตาม ลิเวอร์พูล ทัน

เสียงตะโกนจากสาวก “เดอะ ค็อป” ว่า “เรากำลังจะคว้าแชมป์ลีก” ดังขึ้นรอบๆ แอนฟิลด์ในเกมที่ทีมรักของพวกเขาเอาชนะ แมนฯยูไนเต็ด และภายใต้การคุมทีมของ คล็อปป์ พวกเขายิ่งมีความเชื่อมั่นมากกว่าเดิม และคิดว่าจะไม่ซ้ำรอยทีมรองแชมป์ในปี 2014 ยุคของของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส โค้ชชาวไอร์แลนด์เหนือ แน่นอน

แฟนบอล ลิเวอร์พูล ที่ยึดมั่นกับความเชื่อการรอคอยที่ยาวนานดูเหมือนว่า พวกเขาไม่ต้องการรอคอยอีกต่อไปแล้ว และในที่สุดพวกเขาก็รู้ดีว่า “หงส์แดง” จะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่บนเกาะอังกฤษอีกครั้ง หลังต้องตกอยู่ภายใต้ร่มเงา แมนฯยูไนเต็ด ในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานกุนซือชาวสก็อตแลนด์ มานานหลายปี

ภายหลังจบเกมกับ แมนฯยูไนเต็ด คล็อปป์ กล่าวว่า “แฟนบอลสามารถร้องเพลงนั้นได้เลย พวกเขาร้องเพลงนี้มาหลายครั้งแล้ว ผมคิดว่าทุกคนควรฉลอง แต่ไม่ใช่ลูกทีมของผม”

มีการเฉลิมฉลองเป็นพิเศษหลังเกมกับ แมนฯยูไนเต็ด เนื่องจาก ลิเวอร์พูล เดินหน้าเก็บชัยชนะได้ถึง 21 จาก 22 เกมในลีกล่าสุดที่ลงสนามในฤดูกาลนี้ โดยบรรดาสาวก “หงส์แดง” ต้องการเตือนให้แฟน แมนฯยูไนเต็ด เห็นว่าตอนนี้เป็นยุคของพวกเขาแล้ว

ลิเวอร์พูล มีความได้เปรียบจาก 16 คะแนน ที่อยู่เหนือ แมนซิตี้ ทีมรองจ่าฝูง แต่สิ่งที่น่าเจ็บปวดมากกว่านั้นคือ พวกเขามีแต้มห่างจาก แมนฯยูไนเต็ด ถึง 30 คะแนน และนั่นคือความเหนือชั้นอย่างชัดเจนของ “หงส์แดง”

แม้อาจมีความน่าพอใจอยู่บ้างที่ แมนฯยูไนเต็ด เป็นทีมเดียวที่เก็บแต้มได้จาก ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนักเมื่อมองดูช่องว่างของคะแนนที่มหาศาลแบบนี้ และดูเหมือนว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือชาว นอร์เวย์ของ “ปีศาจแดง” กำลังเรียนรู้งานที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งในอาชีพของเขา

ในเกมแดงเดือดที่แอนฟิลด์นั้น ลูกทีมของ คล็อปป์ แทบไม่ได้แสดงให้เห็นถึงข้อผิดพลาดในเกมตลอดทั้ง 90 นาที โดยคุณภาพในการเล่นของนักเตะ “หงส์แดง” ได้รับการพิสูจน์แล้วในทุกๆด้านว่าพวกเขาได้ก้าวไปสู่ระดับที่ดีขึ้นกว่าเดิม

ลิเวอร์พูล เก็บคะแนนได้มากถึง 91 คะแนน จาก 93 คะแนน

ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล เก็บคะแนนได้มากถึง 91 คะแนน จาก 93 คะแนนหลังสุดในพรีเมียร์ลีก โดยการชนะถึง 31 จาก 30 เกม และเสมอเพียงเกมเดียวเท่านั้น และพวกเขาเป็นทีมแรกนับตั้งแต่ อาร์เซน่อล ในปี 2001-02 ที่ยิงประตูในลีกติดต่อกัน 22 เกม รวมทั้งเก็บคลีนชีตได้ติดต่อกันถึง 7 เกม

ขณะนี้เป็นเวลานานถึง 675 นาทีแล้วนับตั้งแต่ ลิเวอร์พูล เสียประตูครั้งสุดท้ายในพรีเมียร์ลีก ซึ่งต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมาในเกมที่ “หงส์แดง” เปิดรังแอนฟิลด์ถล่ม เอฟเวอร์ตัน ในศึกเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ 5-2

ในส่วนของเกมรุก ลิเวอร์พูล นั้น ทำได้ยอดเยี่ยมมาก แม้แต่ อลิสสัน เบ็คเกอร์ นายทวารทีมชาติบราซิล ยังเป็นคนแอสซิสต์ให้กับ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ปีกทีมชาติอิยิปต์ ซัดประตูใส่ แมนฯยูไนเต็ด ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บได้อย่างสุดยอด

นับตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลที่ผ่านมา เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ – อาร์โนลด์ แบ็คขาวดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษ ของ ลิเวอร์พูล ทำแอสซิสต์ได้มากกว่าผู้เล่นคนอื่นๆในพรีเมียร์ลีก และลูกที่เขาเปิดเตะมุมให้กับ เวอร์จิล ฟาน ไดจค์ กองหลังชาวดัตช์ โหม่งทำประตูในเกมกับ แมนฯยูไนเต็ด นั้น ก็นับเป็นการทำแอสซิสต์ครั้งที่ 21 ของเขาแล้ว

ลิเวอร์พูล น่าจะบรรลุเป้าหมายในฤดูกาลนี้ไปแล้ว แต่การจะเป็นทีมไร้พ่ายตลอดทั้งซีซั่นนั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ซึ่งในปีนี้เรายังไม่เห็นว่า ทีมใดจะหยุดความร้อนแรงของพลพรรค “หงส์แดง” ได้เลย

ความไร้เทียมทานของ ลิเวอร์พูล คือความเจ็บปวดของ แมนฯยูไนเต็ด และแฟนๆ “ปีศาจแดง” กำลังจะได้ริ้มรสความล้มเหลวบ้างแล้ว โดยหากย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1990 พวกเขาสามารถเหน็บแนมสาวก “หงส์แดง” ได้อย่างสบายใจ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

แมนฯยูไนเต็ด รู้ดีว่าในเวลานี้ โมเมนตั้มแห่งความสำเร็จย้ายมาอยู่ฝั่ง ลิเวอร์พูล แล้ว และมันยากที่จะหยุดยั้งเส้นทางของ “หงส์แดง” ที่กำลังมีแนวทางเหมือนกับ “ปีศาจแดง” ในยุคครองความยิ่งใหญ่ภายใต้การคุมทีมของ เฟอร์กูสัน ในอดีตที่ผ่านมา

ในขณะที่เสียงนกหวีดสุดท้ายในเกมแดงเดือดที่แอนฟิลด์สิ้นสุดลง แฟนบอล ลิเวอร์พูล กำลังมีความสุขกับความรุ่งโรจน์ของสโมสร ในขณะที่แฟนๆของ แมนฯยูไนเต็ด ต่างก็ไตร่ตรองเส้นทางที่ยาวไกล และคดเคี้ยวเพื่อจะขัยบเข้าใกล้คู่แข่งตลอดกาลของพวกเขา

แฟนบอล ลิเวอร์พูล กำลังมีความสุขกับความรุ่งโรจน์

เนื้อหาใกล้เคียง