ในช่วงออกสตาร์ทซีซั่นได้รับการคาดหมายว่าอาจเป็นหนึ่งในทีมม้ามืดที่เข้ามาเบียดแย่งแชมป์ในปีนี้สำหรับ “สิงโตน้ำเงินคราม” ภายใต้การคุมทัพของกุนซือชาวอิตาเลียนอย่าง เมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่เพิ่งดึงตัวมาจาก นาโปลี เมื่อช่วงตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมา ทั้งที่เจ้าตัวแทบไม่มีโอกาสได้ซื้อตัวอะไรมากนัก จำเป็นต้องใช้นักเตะเดิม ๆ ในการลงสนาม ทว่ากลับทำผลงานได้อย่างน่าพึงพอใจ กระทั่งหลังจากผ่านมาพักใหญ่ ๆ ของเส้นทางลุ้นแชมป์ พวกเขาค่อย ๆ หลุดเสมอ กระทั่งแพ้ให้กับ สเปอร์ส และ วูฟล์แฮมป์ตัน ทำให้อันดับของพวกเขาตกลงมาพอสมควร
พูดเป็นเสียงเดียวกัน
เรื่องนี้เกจิฟุตบอลหลาย ๆ คนได้บอกเป็นเสียงเดียวกันตั้งแต่แรกแล้วว่าปัญหาของ ซาร์รี่ คือ เขาแทบไม่ได้นักเตะที่ตนเองต้องการมาร่วมทีมเลย ประกอบกับเวลาในการเข้ามาคุมก็น้อยมาก ๆ ก่อนเปิดซีซั่น การทำผลงานออกสตาร์ทได้ดีขนาดนี้นับว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายแล้ว อีกทั้งเมื่อลองย้อนกลับไปดูสไตล์การเล่นของ เชลซี ในยุคที่ อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือคนเก่าทำเอาไว้กับ ซาร์รี่ เวลานี้แทบไม่ได้ต่างกันมากมาย อาจมีบ้างในเรื่องวางแผนการเล่นที่กุนซือแต่ละคนย่อมวางแผนต่างกันออกไป ทว่าภาพรวมก็ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
อีกปัจจัยสำคัญที่เชื่อว่าหลายคนรู้ดีเกี่ยวกับปัญหาของทีมคือการขาดหัวหอกตัวเป้าจบสกอร์ชั้นดี คิดดูว่าดาวเตะอย่าง อัลบาโร่ โมราต้า และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ คือกองหน้าตัวพักบอลที่ยิงประตูได้ไม่เยอะมากนัก บ่อยครั้งที่กองกลางสร้างสรรค์เกมขึ้นมาเมื่อถึงพวกเขาทั้งคู่ กลับพลาดไปอย่างน่าเสียดาย เป็นอีกจุดที่ลึก ๆ เชื่ออยู่แล้วว่ายังไง ซาร์รี่ ก็ต้องการหัวหอกคนใหม่ประจำทีมแทนที่ดาวเตะสองคนนี้ซึ่งฟอร์มไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ด้วยซ้ำ แม้ว่าปีนี้อาจยังไม่ใช่ปีของเขาแต่ถ้าลองให้ได้เสริมนักเตะที่ต้องการ ไม่แน่อาจติดปีกบินแบบม้วนเดียวจบในซีซั่นหน้าเลยก็เป็นได้
ความคาดหวังของแฟนบอลรวมถึงเจ้าของทีมอย่าง โรมัน อบราโมวิช อาจไม่ได้มีสูงมากนักในซีซั่นนี้ ด้วยสภาพความพร้อมต่าง ๆ ของทีมที่ก็เห็นกันอยู่แล้วว่าไม่ได้ดีเด่นเหมือนซีซั่นก่อน ๆ กระนั้นเมื่อพวกเข้าก้าวขึ้นมาอยู่ในกลุ่มของผู้นำได้ก็เป็นเรื่องปกติที่แฟนบอลทุกคนต้องคาดหวัง อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเวลาของ ซาร์รี่ ไม่น่าจะหมดลงในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้รวดเร็วขนาดนั้นเพราะเขายังแทบไม่ได้ทำอะไรด้วยตนเองเลย
