เรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับนักเตะระดับโลกจากทั่วโลก

เรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับนักเตะระดับโลกจากทั่วโลก

ซีเนอดีน ซีดาน กับการฝึกเดาะลูกเทนนิส

คุณน่าจะรู้จักกับ ซีดาน ในฐานะเทรนเนอร์ แต่ในสมัยที่เขาเล่นฟุตบอลอาชีพนั้น ก็ต้องเห็นกันได้เลยว่า ซีดาน มีเท้าสองข้างราวกับตะขอเลยทีเดียว เขาเลี้ยงบอลได้ติดเท้ามาก จ่ายบอลเฉียบ และยังเป็นคนที่มีข้อเท้าทรงพลังมาก สามารถยิงประตูเข้าข้อได้อย่างรุนแรง หนัก แม่นยำ จนมีคนสงสัยเลยว่าเจ้าตัวคอนโทรลบอลได้ขนาดนี้ แถมยิงประตูเข้าจุดโฟกัสแบบนี้ได้ยังไง มันมีที่มาที่ไปอยู่เช่นกัน

อย่างแรกนั้นในวัยเด็กของ ซีดาน เขามีความชื่นชอบในเรื่องการเล่นฟุตบอล แต่ด้วยฐานะที่ยากจนของเขานี่เอง ที่ทำให้เขาขาดแคลนการมีอุปกรณ์ในการฝึกทักษะการเล่น ไม่ว่าจะเป็นการมีรองเท้าสตั๊ด หรือลูกฟุตบอลสักลูกก็ไม่มีให้ ซีดาน ฝึก

แต่สิ่งที่หล่อหลอมการเล่นของ ซีดาน ให้เฉียบคมในเรื่องการคอนโทรลบอลก็คือ ซีดาน หัดเดาะบอลจากลูก “เทนนิส” ใช่แล้วคุณได้ยินไม่ผิดหรอก เขาเดาะบอลจากลูกเทนนิสเล็กๆที่เด้งไปเด้งมา แถมลูกเทนนิสยังไร้น้ำหนักมากกว่าลูกบอลโดยปกติอีก แต่กระนั้นแล้ว ซีดาน หัดเดาะลูกเทนนิส แปลูกเทนนิส เตะลูกเทนนิสเข้ากำแพงไปมาทั้งซ้ายทั้งขวาอยู่แบบนั้นทุกวัน จนทำให้เขาสามารถคอนโทรลลูกบอลได้สบายๆ เพราะฝึกมากับลูกเทนนิสที่เล็กกว่าลูกบอลทั่วไปหลายเท่านั่นเอง

มอร์เทน กัมพ์ พีเดอร์เซ่น กับการเป็นนักเตะถนัดขวาโดยธรรมชาติ

มาดูกันที่ตำนานนักเตะชาวนอร์เวย์คนนี้กันดีกว่า เดิมทีนั้นนักเตะรายนี้เป็นคนที่เกิดมาถนัด “ขวา” โดยธรรมชาติ แต่เพราะการฝึกสอนของพ่อของเขา ที่มองว่านักเตะที่ถนัดขวานั้นมีเกลื่อนแล้ว แต่ว่าคนที่เป็นนักเตะเท้าซ้ายนั้นแทบจะไม่มีให้เห็นเท่าไหร่ หายาก และยังจับทางการเล่นได้ยากอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง พ่อของ พีเดอร์เซ่น เลยฝึกหัดให้เขาฝึกเล่นฟุตบอลด้วยเท้าซ้ายให้กลายเป็นเท้าถนัดไปเลย ซึ่งในการเล่นฟุตบอลอาชีพของ พีเดอร์เซ่น มันก็เลยทำให้เจ้าตัวสร้างชื่อขึ้นมาในฐานะตัวรุกถนัดเท้าซ้ายไปโดยปริยาย แต่เมื่อมองดูโปรไฟล์และที่มาที่ไปของเขานั้น เขาคือคนที่ถนัดขวามาแต่แรก มันน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว

ชาบี้ เฮร์นานเดซ กับการเคยเป็น “กองหน้า” มาก่อน

ใครจะไปคิดล่ะว่านักเตะที่ได้ชื่อว่าเป็น “จอมทัพ” ระดับตำนานรายนี้ จะมีที่มาที่ไปที่แสนจะน่าสนใจอย่างมาก เพราะตัวของ ชาบี้ ในวัยเด็กนั้นได้เล่าความจริงว่า มันเป็นเรื่องปกติที่เด็กๆในวัยหัดเล่นฟุตบอลนั้น จะต้องอยากเล่นเป็นนักเตะในตำแหน่งตัวรุก เพราะได้โชว์ทักษะเต็มที่ ยิ่งเป็นกองหน้าแล้วทำประตูได้นั้น จะดูเด่น ดูเท่ ไม่เหมือนใคร และแน่นอนว่า ชาบี้ เองก็อยู่ในข่ายของเด็กที่อยากเป็นกองหน้าด้วยเช่นกัน

แต่เพราะความ ชาบี้ นั้น “ไม่มีความเร็ว” ไม่มีสปีดต้น ทำให้เรื่องการจะเป็นกองหน้านั้นเป็นไปได้ยาก แถมยังมีรูปร่างที่เล็ก ทนต่อแรงปะทะได้ไม่ดีเท่าไหร่ มันเลยทำให้เขาเสียเปรียบอย่างมากในการจะไปปะทะกับกองหลังตัวหนาๆที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

แต่สิ่งที่ ชาบี้ มีอยู่ในตัวและเทรนเนอร์ของทีมเยาวชน บาร์เซโลน่า ก็ยังเห็นจากตัวของเขานั่นก็คือ “การครองบอลที่เหนียวแน่น” , “มีสายตาที่กว้างไกล” และขาดไม่ได้กับจุดขายที่โคตรอัจฉริยะของเขาก็คือ “การจ่ายบอลที่โคตรแม่นยำทั้งลูกสั้นลูกยาว” นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้โค้ชของทีมเยาวชน บาร์ซ่า ได้กล่าวแนะนำเขาว่า ถ้าอยากแจ้งเกิด ก็ควรที่จะเปลี่ยนความคิดจากการที่จะเล่นเป็นกองหน้า ไปเป็นตัว “มิดฟิลด์ตัวกลาง” ซะจะดีกว่า

และจากนั้น ชาบี้ ก็ฟังคำแนะนำดังกล่าว เขาจึงเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆจนได้พัฒนาตัวเองและกลายเป็น “จอมทัพ” ระดับเวิลด์คลาส ในที่สุดนั่นเอง !

อันเดรีย ปีร์โล กับความขี้เกียจวอร์ม

ตำนานนักเตะหลายคนนั้น ต่างมีคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจหลายอย่างเลยทีเดียว บางคนให้ความสำคัญกับการซ้อมอย่างมาก บางคนก็ให้ความสำคัญกับการที่จะต้องทำให้กล้ามเนื้อและร่างกายเตรียมพร้อมตลอดเวลา แต่นักเตะระดับตำนานรายหนึ่งนั้นกลับชอบที่จะเมินที่จะมีการ “วอร์ม” ก่อนการลงซ้อมหรือลงเล่นในแต่ละแมตซ์ นั่นก็คือตัวของ ปีร์โล ตำนานจอมทัพเท้าชั่งทองของทีม เอซี มิลาน และ ยูเวนตุส นั่นเอง

มิดฟิลด์ระดับตำนานรายนี้ มีชั้นเชิงในการเล่นที่เหนือชั้น ครองบอลเหนียวแน่น แย่งยาก แถมยังมีสายตาในการอ่านเกมที่เฉียบขาด มีสองเท้าที่ชั่งทอง สามารถเปิดบอลลูกสั้นลูกยาวได้อย่างแม่นยำ หลายๆประตูที่ทีมทำได้นั้น มาจากการวางบอลในแนวลึกของ ปีร์โล ทั้งจังหวะลูกตั้งเตะ ลูกโอเพ่นเพลย์ บอลจากเท้าของ ปีร์โล นั้นหวังผลได้เสมอ

แต่ภายใต้ความแม่นยำนี้นั้น ปีร์โล กลับเป็นนักเตะที่ “เกลียด” การวอร์มร่างกายอย่างแรงเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการยืดเส้น หรืออะไรก็ตามที่เป็นการอบอุ่นร่างกายนั้น ปีร์โล แทบจะไม่ทำเลย จะว่าเป็นความอินดี้อีกแบบหนึ่งสำหรับเจ้าตัวก็ยังได้

เคราร์ด ปิเก้ กับความชอบด้านงานบริหาร

นักเตะทุกคน ล้วนแล้วแต่ว่ามีสิ่งที่ชื่นชอบที่จะทำในช่วงที่พักจากการทำหน้าที่ในสนาม และสำหรับตัวของ เคราร์ด ปิเก้ เองก็เป็นนักเตะที่ได้ชื่อว่าชื่นชอบในด้านของการศึกษาด้านบริหารธุรกิจ เพราะเจ้าตัวมีโครงการหลายอย่างที่อยากทำหลังจากแขวนสตั๊ด นั่นก็คือการเป็นเจ้าของกิจการสโมสรฟุตบอล โดยตอนนี้ ปิเก้ เป็นเจ้าของทีมฟุตบอลในระดับลีกล่างของสเปนอยู่ และยังเป็นเจ้าของธุรกิจบริษัทผลิตสื่ออย่าง KOSMOS ที่ถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเชิงกีฬาออกมาให้ชมกันหลายเทปแล้ว

และแน่นอนว่าในอนาคตนั้น ปิเก้ ก็เคยบอกอีกว่า เขาอยากที่จะเป็นประธานสโมสร บาร์เซโลน่า และอยากที่จะได้ลงสมัครท้าชิงตำแหน่งประธานสโมสร บาร์เซโลน่า ในอนาคตข้างหน้าอีกด้วยเช่นกัน

มีแว่วๆมาเหมือนกันว่าในช่วงนี้ ปิเก้ กำลังอยู่ในช่วงของการเจรจาเพื่อเซ็นสัญญากับสโมสรฟุตบอลเล็กอีกแห่งเพิ่ม เพื่อหวังที่จะได้ใช้เป็นอู่ข้าวอู่น้ำให้กับ บาร์เซโลน่า อีกแห่งด้วย

ยาสุฮิโตะ เอ็นโดะ กับการเปลี่ยนแปลงสไตล์การเล่นเพราะตำนาน

มาดูกันที่ตำนานลูกหนังชาวเอเชียคนนี้บ้างดีกว่า เขาเป็นมิดฟิลด์ที่ได้ชื่อว่าเป็น “เจ้าชายแห่งกัมบะ” ตัวของ เอ็นโดะ เป็นสุดยอดมิดฟิลด์เท้าชั่งทองที่เล่นให้กับสโมสร กัมบะ โอซาก้า มาตั้งแต่สมัยเป็นดาวรุ่ง ผ่านมาจนถึงตอนนี้ก็เกือบจะ 20 ปีที่เขารับใช้ทีมนี้ ทั้งการพาทีมคว้าแชมป์เจลีก คว้าแชมป์ทวีป ไล่ไปจนถึงการยอมตกชั้นไปพร้อมกับทีมและช่วยทีมจนกลับมาเล่นยังลีกสูงสุดได้

แต่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับจอมทัพเท้าชั่งทองผู้ที่สามารถเปิดบอลลูกสั้นลูกยาวได้อย่างแม่นยำรายนี้ก็คือ ในอดีตสมัยที่ยังเล่นฟุตบอลให้กับทีมชาติญี่ปุ่นนั้น เขาได้รับการปรับจูนตำแหน่งในสนามใหม่ เพราะจากเดิมนั้น เอ็นโดะ เล่นในตำหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก หรือเพลย์เมกเกอร์หลังกองหน้า แต่เพราะตำแหน่งไปทับกับตัวของ ชุนสุเกะ นากามูระ เพลย์เมกเกอร์จากสโมสร เซลติก แต่เพราะความที่ นากามูระ มีความคล่องตัวกว่า มีความเร็วกว่า ทำให้ทาง “ซิโก้” ตำนานลูกหนังแซมบ้าที่เป็นเทรนเนอร์ทีมชาติบราซิลในเวลานั้น มองว่า นากามูระ เหมาะจะเล่นเป็นตัวทำเกมหลังกองหน้ามากกว่า เอ็นโดะ

อันเดรีย ปีร์โล กับความขี้เกียจวอร์ม

แต่สิ่งที่ ซิโก้ ช่วยเหลือ เอ็นโดะ ก็คือ เขาลองจับเอา เอ็นโดะ ไปยืนบริเวณกลางสนาม และให้รับบทบาทเป็น “จอมทัพบัญชาเกม” ที่เน้นการทำเกมและวางบอลยาวจากแนวลึก เพราะวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล การเปิดบอลที่แม่นยำของ เอ็นโดะ นั่นเอง ที่ทำให้ ซิโก้ วางใจเขาในการเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง ที่ไม่ต้องใช้ความเร็ว แต่อาศัยการอ่านเกมและวางบอล รวมถึงที่ ซิโก้ ยังฝึกสอน เอ็นโดะ ในการยิงฟรีคิกที่เฉียบคม ให้เป็นอาวุธเด็ดของเจ้าตัวอีก 1 อย่าง และ เอ็นโดะ ในเวอร์ชั่นของ จอมทัพในสไตล์ MC ก็สามารถทำประตูจากลูกตั้งเตะได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว

ลุยจิ ริว่า “ตีนควายของจริง”

มาถึงยุคคลาสสิกของวงการฟุตบอลอิตาลีกันหน่อย ครั้งหนึ่งนั้นทีมอย่าง กายารี่ ยังมียอดนักเตะรายหนึ่งที่มีเท้าซ้ายทรงพลัง ยิงทีนี่พวกผู้รักษาประตูอย่าเอามือไปรับเลย เสี่ยงต่อการเจ็บตัวเปล่าๆ นั่นก็คือตัวของ ลุยจิ ริว่า ตำนานสไตรเกอร์ของ กายารี และทีมชาติอิตาลีนั่นเอง

ริว่า เป็นนักเตะถนัดซ้ายที่มีความสามารถในการยิงประตูแบบ “เข้าข้อ” อย่างน่ากลัว การซัลโวประตูที่ทรงพลังนี่เองที่กลายเป็นจุดขายของเขา

ครั้งหนึ่งนั้น ริว่า เคยซัลโวประตูด้วยซ้ายดินระเบิดของเขา แต่ทว่าบอลกลับไม่เข้าประตู บอลได้พุ่งตรงไปยังอัฒจันทร์และโดนแขนของแฟนบอลรายหนึ่งที่อยู่หลังโกลด์จนกระดูกแขนหักทันที ซึ่งมันเกิดจากพลังในการยิงของดาวเตะซ้ายพิฆาตรายนี้ล้วนๆ

มิชาเอล บัลลัค กับการถามหาตำนานเกาหลีใต้

ครั้งที่ทีมชาติเยอรมันได้ไปเยือนเกาหลีใต้เพื่อลงแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 ที่ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ เป็นเจ้าภาพนั้น ทางทีมชาติเยอรมันได้ไปแข่งในสายที่ต้องลงเล่นที่ประเทศเกาหลีใต้ โดยเมื่อบินได้แลนดิ้งลงที่กรุงโซลนั้น ตัวของ มิชาเอล บัลลัค ที่นำทัพมาในฐานะจอมทัพของทีมก็ได้กล่าวกับสื่อว่า “นี่คือประเทศของ ชาบูม (ชา บุม กุม) ใช่มั้ยครับ ผมอยากจะมาที่นี่มานานมากแล้ว เขาคือฮีโร่ของผมเลย”

สำหรับคนที่ชื่อว่า ชา บุม กุม นั้น ถ้าหากไปลองถามแฟนบอลชาวเกาหลีใต้ในยุค 80 หรือแฟนบอลชาวเยอรมันที่ติดตามบุนเดสลีกาในช่วงยุค 80 รับรองว่ายังไงพวกเขาก็ต้องรู้จักนักเตะเท้าหนักชาวเกาหลีใต้ที่มีฉายาว่า “ไอ้ลูกระเบิดชา” อย่างแน่นอนเลยทีเดียว

ชา บุม กุม เป็นสุดยอดกองหน้าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในบุนเดสลีกา โดยเขาเป็นตำนานนักเตะต่างชาติที่มีสถิติยิงประตูในบุนเดสลีกามากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 เลยทีเดียว โดยเขาเคยค้าแข้งให้กับ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต และ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น

เก่งในระดับไหนถึงทำให้ บัลลัค ต้องถามถึง ชา บุม กุม ก็อยู่ในขั้นที่ว่าในนัดที่ แฟร้งค์เฟิร์ต เจอกับทาง มึนเช่นกลัดบัค ทางโค้ชของ กลัดบัค ได้มอบหมายให้ โลธาร์ มัทเธอุส ตามประกบ ชา บุม กุม กันเลยทีเดียว และหนังสือพิมพ์เยอรมันก็ยังมีการขึ้นพาดหัวข่าวว่า “ประกบตาย ชา เท่านั้น” , “ตามประกบแนวรุกที่น่ากลัวที่สุดในโลก” เห็นแบบนี้แล้วก็ไม่แปลกใจที่โคตรจอมทัพอย่างบัลลัค จะกล่าวถึง ชา บุม กุม

เลาดรู๊ป ตระกูลนักบอลตัวจริง

มีตระกูลนักฟุตบอลหลายครอบครัวที่มีชื่อเสียง แต่สำหรับตระกูลที่ได้รับการกล่าวถึงก็คือตระกูล “เลาดรู๊ป” จากเดนมาร์กนี่เองที่เข้าข่ายน่าสนใจมากที่สุด

มันเริ่มจากตัวของ ฟินน์ เลาดรู๊ป ที่ซึ่งเป็นสุดยอดตำนานเพลย์เมกเกอร์ของทีมชาติเดนมาร์กและสโมสร บรอนด์บี้ จากนั้นก็มาถึงรุ่นที่เป็นตำนานตัวจริงอย่าง ไมเคิล และ ไบรอัน 2 พี่น้องที่สร้างตำนานเอาไว้มากมายในยุค 90 โดยที่ ไมเคิล เป็นตำนานของทีม บาร์เซโลน่า ในสเปน และยังเคยผ่านการเล่นให้กับทีมชั้นนำมาแล้วมากมายทั้งกับ ลาซิโอ้ , ยูเวนตุส , เรอัล มาดริด , อาแจ็กซ์

ส่วนทางด้านของ ไบรอัน เขาคือตำนานของทีม กลาสโกว์ เรนเจอร์ส แต่เขาก็เคยค้าแข้งกับ อัวดิงเด้น , บาเยิร์น มิวนิค , เอซี มิลาน , ฟิออเรนติน่า และมาเล่นกับ อาแจ็กซ์ อีกด้วย

จากนั้นก็ถึงคิวรุ่นลูกต่อจาก ไมเคิล และ ไบรอัน นั่นก็คือตัวของ แมดส์ และ อันเดรียส อันเป็นสองพี่น้องลูกชายของ ไมเคิล ที่เล่นเป็นมิดฟิลด์เหมือนกับพ่อของเขา แต่น่าเสียดายที่ฝีเท้าของทั้งคู่นั้นไม่เด่นไม่ดังเท่าไหร่

60 ประตูอันเป็นตำนานของ ดิ๊กซี่ ดีน

ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น รายชื่อและสถิติดาวยิงสูงสุดของลีกฟุตบอลอังกฤษที่เป็นท็อปลีก (ดิวิชั่น 1 / พรีเมียร์ลีก) มียอดดาวยิงมากมายผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด มีสถิติการยิงประตูถล่มทลาย แต่ก็ไม่มีใครที่ยิงประตูภายในฤดูกาลเดียว เอาเฉพาะแค่ในลีกที่แตะหลัก “60 ประตู” ได้เหมือนกับ ดิ๊กซี่ ดีน

ตำนานดาวยิง เอฟเวอร์ตัน รายนี้ คือโคตรกองหน้าดินระเบิดของทีมตัวจริง เขาตัวเล็ก แต่รวดเร็ว คล่องแคล่ว ยิงได้ทั้งสองเท้า ทำประตูได้ทั้งลูกกลางอากาศและภาคพื้นดิน

ไม่น่าเชื่อว่าจนถึงตอนนี้ ดีน แม้ว่าจะเสียชีวิตไปแล้วนั้น แต่เขาก็ยังคงครองสถิติในการเป็นนักเตะที่ยิงประตูในลีกสูงสุดของอังกฤษได้ปีเดียวได้มากถึง 60 ประตู โดยเฉพาะกับนัดสุดท้ายของเกมลีก เจ้าตัวตะบันแฮททริกสำคัญให้ เอฟเวอร์ตัน ตามตีเสมอ อาร์เซน่อล เป็น 3-3 นอกจากว่ามันจะทำให้ เอฟเวอร์ตัน คว้าแชมป์ลีกแล้วนั้น มันยังเป็นการทำให้ ดีน คว้ารางวัลดาวยิงสูงสุดของลีกด้วยการกดไป 60 ประตูอีกด้วย มันเป็นตำนานที่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีใครเลยที่สามารถทำลายสถิติของเจ้าตัวลงได้

เลิกเล่นทีมชาติในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ แกร์ด มุลเลอร์

สำหรับโคตรนักเตะรายนี้ เป็นสไตรเกอร์ในกรอบเขตโทษที่สุดยอดเลยทีเดียว เขามีรูปร่างที่เล็ก แต่จมูกไว ยิงคม โดยเฉพาะกับการตะบันในเขตโทษ มันทำให้สถิติการยิงประตูของเขานั้นเด่นมากทั้งในระดับทีมชาติและสโมสรเลยทีเดียว

“แดร์ บ็อมบ์เบอร์” แกร์ด มุลเลอร์ เป็นสตาร์ศูนย์หน้าทีมชาติเยอรมันที่มีความโดดเด่นในการยิงประตูเป็นหลัก เขายิงได้ทั้งสองเท้า ทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าบอลจะมาแบบไหน ขอแค่ให้ถึงเขาก็พอ เขาพร้อมยิงประตูให้กับทีมได้ทั้งหมด

ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1974 มันเป็นทัวร์นาเมนต์ที่มุลเลอร์ทำประตูได้มากจนได้รางวัลดาวยิงสูงสุดของฟุตบอลโลก 1974 เลยทีเดียว แถมเจ้าตัวยังยิงประตูชัยให้ทีมคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จอีกด้วย

แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือหลังจากจบทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว มุลเลอร์ ได้ประกาศเลิกเล่นให้กับทีมชาติด้วยวัยเพียง 29 ปีเท่านั้น โดยเขาได้ให้เหตุผลว่า เขาอยากเลิกเล่นทีมชาติในช่วงเวลาที่ดีที่สุด นั่นคือหลังจากคว้าแชมป์โลกนั่นเอง

มิชาเอล บัลลัค กับการถามหาตำนานเกาหลีใต้

เนื้อหาใกล้เคียง