มาร์โก ฟาน กิงเคล : Marco van Ginkel

ประวัติ นักเตะ มาร์โก ฟาน กิงเคล

วุลแฟร์ต คอร์เนเลียส “มาร์โก” ฟาน กิงเคล (Wulfert Cornelius “Marco” van Ginkel) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนาม มาร์โก ฟาน กิงเคล เป็นนักฟุตบอลชาวดัตช์ที่ลงเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ให้กับเชลซี และ ทีมชาติฮอลแลนด์ ฟาน กิงเคล เกิดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 1992 ปัจจุบันอายุ 26 ปี เริ่มก้าวเดินเข้าสู่เส้นทางลูกหนังจากการเป็นนักเตะระดับเยาวชนให้กับ วิเทสส์ อาร์เน่ม ด้วยวัยเพียง 6 ขวบเมื่อปี 1999 หลังจากพัฒนาฝีเท้าผ่านขึ้นมาในแต่ละระดับเขาก็ได้เปิดตัวกับทีมชุดใหญ่ในปี 2010 ก่อนจะถูกขายต่อไปให้กับ เชลซี ด้วยราคาประมาณ 9 ล้านปอนด์เมื่อปี 2013 แต่โชคร้ายที่เขาประสบปัญหาบาดเจ็บรุนแรงที่หัวเข่าตั้งแต่ช่วงแรกที่ย้ายเข้ามาจนทำให้หมดสิทธิ์ลงสนามไปเป็นระยะเวลานาน 7 เดือน ก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวไปให้ เอซี มิลาน ยืมใช้งานในฤดูกาล 2014-15 ต่อด้วยการย้ายทีมชั่วคราวไปอยู่กับ สโต๊ค ซิตี้ และ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ในฤดูกาล 2015-16 ฟาน กิงเคล เริ่มเป็นตัวแทนให้กับ ทีมกังหันสีส้มชุด U-19 และ U-21 ก่อนจะเลื่อนชั้นขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ด้วยการเปิดตัวในการพบกับ เยอรมัน เมื่อปี 2012

มาร์โก ฟาน กิงเคล วิเทสส์

ในวัยเพียง 17 ปี ฟาน กิงเคล มีโอกาสประเดิมสนามให้กับทีมชุดใหญ่ด้วยการถูกเปลี่ยนลงไปแทน นิคกี้ ฮอฟส์ มิดฟิลด์ดีกรีทีมชาติฮอลแลนด์ ตอนนาทีที่ 67 ในเกม เอเรดิวิซี่ นัดที่พ่ายให้กับ วาลไวก์ 4-1 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2010 ฟาน กิงเคล ได้ลงสนามเป็นตัวจริงครั้งแรกในช่วงต้นๆของการออกสตาร์ทซีซั่นที่สอง แถมยังยิงประตูแรกในชีวิตค้าแข้งได้อีกจากลูกตีเสมอ 2-2 ก่อนหมด 45 นาทีแรกในเกมที่จบลงด้วยการพ่ายแพ้ต่อ อาแจ็กซ์ 4-2 เขามาทำประตูได้อีกครั้งด้วยการเหมาคนเดียว 2 เม็ดในเกมที่ทีมเปิดรัง เกลเรโดม ไล่ถล่ม โรด้า เจซี 5-2 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2011

ในเกม เคเอ็นวีบี คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2012 เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นของทีมที่ทำประตูได้ในเกมสังหารโหด ADO ’20 ทีมระดับดิวิชั่น 3 แบบไม่เหลือซาก 10-1 ก่อนมาถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2013 ที่เขาเหมาคนเดียว 2 ลูกในขณะที่ วิลเฟร็ด โบนี่ ดาวยิงเพื่อนร่วมทีมจะสามารถกดแฮตทริกในนัดที่บุกไปเอาชนะ เฮราคลีส ได้แบบสุดมันส์ 5-3

ภายหลังจากจบฤดูกาล 2012-13 ด้วยผลงานการทำไป 8 ประตูในลีกและช่วยให้ วิเทสส์ ทะยานเข้าป้ายด้วยอันดับที่ 4 อันเป็นผลงานที่ดีที่สุดของสโมสรนับตั้งแต่การจบในอันดับที่ 3 เมื่อปี 1998 ก็ทำให้ ฟาน กิงเคล ถูกโหวตให้รับรางวัล นักเตะดาวรุ่งชาวดัตช์ยอดเยี่ยมแห่งปี ก่อนจะมีข่าวลือเรื่องกำลังเตรียมตัวย้ายไปอยู่กับ เชลซี ที่ทำให้เขาถูก ปีเตอร์ บอสซ์ กุนซือของวิเทสส์ ออกมากล่าวยกย่องว่ามีโอกาสจะก้าวขึ้นไปเป็น แฟรงค์ แลมพาร์ด คนต่อไป

มาร์โก ฟาน กิงเคล เชลซี

ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2013 เชลซี ก็ได้ออกมาป่าวประกาศเรื่องที่ทีมสามารถบรรลุข้อตกลงกับ วิเทสส์ ในการย้ายทีมของ ฟาน กิงเคล ด้วยค่าตัวที่มีรายงานออกมาไม่ต่ำกว่า 8 ล้านปอนด์ จนกระทั่งอีก 2 วันต่อมาสโมสรก็ยืนยันว่าได้บรรลุข้อตกลงที่มีระยะเวลา 5 ปีกับ มิดฟิลด์ดาวรุ่งชาวดัตช์ โดยที่เจ้าตัวได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับทางเว็บไซต์ของทีมและได้ให้คำนิยามของตนเองเอาไว้ว่า ผู้เล่นสไตล์บ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของสนามและสามารถทำประตูได้

ฟาน กิงเคล มีโอกาสลงเล่นในเกม พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาลที่ทีมเปิดรัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไล่บด ฮัลล์ ซิตี้ 2-0 โดยลงไปแทนที่ ออสการ์ ในช่วง 5 นาทีสุดท้ายของเกม และได้ลงสนามในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งแรกด้วยการเป็นตัวสำรองของ จอห์น โอบี มิเกล ในนาทีที่ 76 จากนัดที่พ่ายคาบ้านให้กับ บาเซิ่ล 2-1 เมื่อวันที่ 18 กันยายน แต่แล้วจากการออกสตาร์ทเป็นตัวจริงครั้งแรกในเกม ลีก คัพ รอบ 3 เมื่อวันที่ 24 กันยายนและอยู่ในสนามได้เพียงแค่ 10 นาที เขาก็มีอาการบาดเจ็บตรงเอ็นไขว้ข้อหัวเข่าที่ส่งผลให้ต้องพักรักษาตัวไปนานร่วม 7 เดือน จนกระทั่งกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในการลงเตะร่วมกับทีมชุด U-21 ที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2014

มาร์โก ฟาน กิงเคล มิลาน

ในวันที่ 1 กันยายน 2014 เอซี มิลาน ได้ออกมาประกาศว่า ฟาน กิงเคล จะย้ายมาร่วมทีมด้วยสัญญายืมตัวตลอดฤดูกาล 2014-15 โดยจะสวมเสื้อหมายเลข 21 ซึ่งเคยผ่านการใช้งานมาจากเหล่าตำนานแข้งของทีมทั้ง อันเดรีย ปิร์โล่ และ เมาโร ทัสซ็อตติ เริ่มต้นจากการมีชื่อเป็นตัวสำรองในเกมที่พบกับ ปาร์ม่า เมื่อวันที่ 14 กันยายน แต่โอกาสประเดิมสนามของเขาต้องรอไปจนถึงวันที่ 23 กันยายนด้วยการออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมที่พบกับ เอ็มโปลี แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่เจ้าตัวเกิดมีปัญหาที่ข้อเท้าจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 34 หลังจากพักไปไม่นานก็ได้กลับมาอยู่บนม้านั่งสำรองในเกมที่ออกไปเยือน เวโรน่า เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม แต่ก็ไม่ได้รับโอกาสลงสนามอีกเลยนานร่วมเดือน จนทำให้ คาร์ล แยนเซ่น เอเย่นต์ส่วนตัวของเขาออกมาพูดว่า “มันชัดเจนว่าพวกเราไม่ค่อยแฮปปี้กับเรื่องนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอะไรที่แปลกประหลาดมาก มาร์โก คงไม่ต้องเดินทางมาถึงที่ อิตาลี หากเขาจะไม่ถูกเรียกตัวไปใช้งานบ้างเลย ทาง มิลาน ก็รับรู้ถึงเรื่องนี้ ผู้เล่นอย่าง ฟาน กิงเคล พร้อมที่จะอยู่ในไลน์อัพ 11 คนแรกของพวกเขา”
หลังจาก แยนเซ่น ออกมาบรรยายถึงสถานการณ์นักเตะของเขา ก็เกิดข่าวลือขึ้นมาว่า มีความเป็นไปได้ที่ ฟาน กิงเคล จะย้ายกลับไปยัง เชลซี หรือสลับไปอยู่กับทีมอื่นในช่วงเวลาที่เหลือ

ในที่สุดวันที่ 30 พฤศจิกายน เขาก็ได้รับโอกาสลงสนามตั้งแต่ต้นเกมในนัดที่เปิดรัง ซาน ซิโร่ เอาชนะ อูดิเนเซ่ 2-0 โดยที่เจ้าตัวได้อยู่ในสนามเกือบทั้งเกมก่อนจะถูก ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่ เปลี่ยนลงมาแทนในนาทีที่ 89 แต่แล้วในเกมถัดมาที่ทีมบุกไปพ่ายให้กับ เจนัว 1-0 เขาก็ได้แต่อยู่บนม้านั่งสำรองตลอดทั้ง 90 นาที สถานการณ์ของ ฟาน กิงเคล กลับเลวร้ายลงไปอีกเมื่อได้รับบาดเจ็บซ้ำที่ข้อเท้าหลังมีการปะทะกับ ซัลลีย์ มุนตารี่ กองกลางเพื่อนร่วมทีมระหว่างฝึกซ้อม จากคำบอกเล่าของ ฟิลิปโป้ อินซาโก้ กุนซือปีศาจแดงดำ ได้อธิบายถึงการเข้าสกัดบอลของ มุนตารี่ ไว้ว่า “มันเป็นการปะทะที่หนัก แต่ไม่ใช่การเข้าบอลที่อันตราย” สุดท้ายแล้ว ฟาน กิงเคล ก็ต้องพักรักษาตัวอีกราว 2 เดือน เขาหายกลับมามีชื่อบนม้านั่งสำรองในวันที่ 18 มกราคม 2015 และได้ลงสัมผัสเกมตั้งแต่นาทีแรกในนัดถัดมาที่บุกไปพ่าย ลาซิโอ 3-1 แต่ก็อยู่ในสนามได้เพียง 55 นาทีก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกตามแทคติกกับ จามเปาโล ปาซซินี่ จนกระทั่งสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงและอยู่ในสนามจนครบ 90 นาทีได้ตั้งแต่การออกไปเยือน ฟิออเรนติน่า ในวันที่ 16 มีนาคม เป็นต้นมา ก่อนจะมาทำประตูแรกได้จากลูกเปิดหัวที่ช่วยให้ทีมเฉือนเอาชนะ โรม่า ในบ้าน 2-1

มาร์โก ฟาน กิงเคล สโต๊ค ซิตี้

ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2015 ฟาน กิงเคล ตกลงใจย้ายไปอยู่กับ สโต๊ค ซิตี้ ด้วยสัญญายืมตัวไปจนจบฤดูกาล 2015-16 และยังเป็นส่วนหนึ่งในดีลของ อัสเมียร์ เบโกวิช ที่ย้ายไปอยู่กับ เชลซี ด้วยราคา 8 ล้านปอนด์ เขาได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงในนัดเปิดฤดูกาลที่ถูก ลิเวอร์พูล บุกมาทุบ 1-0 คารัง บริทานเนีย สเตเดี้ยม หลังจากยึดตำแหน่งตัวจริงได้ตลอดใน 6 นัดแรก เขาก็สูญเสียตำแหน่งในสนามให้กับ อิบราฮิม อเฟลลาย ดาวเตะเพื่อนร่วมชาติ จนกระทั่งการย้ายเข้ามาของ จานเนลลี่ อิมบูล่า ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2016 ก็ทำให้ เดอะ พ็อตเตอร์ส ตัดสินใจยกเลิกสัญญายืมตัวกับเขา

มาร์โก ฟาน กิงเคล พีเอสวี

หลังแยกทางกับ สโต๊ค ระหว่างฤดูกาล เขาก็ย้ายไปซบ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ในช่วงเวลาที่เหลือและยังเป็นการกลับไปร่วมงานกับ ดาวี่ พร็อพเพอร์ อดีตเพื่อนร่วมทีมที่ วิเทสส์ อีกด้วย เขาลงสนามให้ทีมนัดแรกในเกม เคเอ็นวีบี คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้ายที่พ่ายให้กับ อูเทร็คท์ 3-1 เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ก่อนจะประเดิมเกมลีกนัดแรกในอีก 3 วันต่อมาด้วยการยิงประตูปิดท้ายในการล้างแค้น อูเทร็คท์ 2-0 ฟาน กิงเคล ทำประตูได้อีกในนัดถัดมาจากการบุกไปถล่ม เอ็นอีซี ไนจ์เมเก้น 3-0 ก่อนจะมายิงเบิ้ลในแมตช์ที่ไปเยือน อาแซด อัลค์มาร์ และเก็บ 3 คะแนนออกมาด้วยผลสกอร์ 4-2 เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน และยังยิง 2 ประตูได้อีกในเกมที่เปิดบ้านไล่ต้อน คัมบูร์ 6-2 เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม จนในที่สุดเขาก็สามารถคว้าแชมป์ เอเรดิวิซี่ ร่วมกับ พีเอสวี ด้วยผลงาน 8 ประตูจากการลงเล่น 13 นัด

แม้ในช่วงซัมเมอร์จะมีการพูดคุยถึงเรื่องการต่อสัญญายืมตัวไปอีก 1 ซีซั่น แต่ ฟาน กิงเคล ที่เกิดมีปัญหาบาดเจ็บที่หัวเข่าขึ้นมาก็ยืนยันว่าจะยังคงอยู่กับสโมสรที่ ลอนดอน จนกระทั่งเจ้าตัวหายจากอาการบาดเจ็บในช่วงปลายเดือนตุลาคมและมีโอกาสได้เคาะสนิมแต่กับทีมชุด U-21 ในที่สุดตอนวันสิ้นปี 2016 เขาก็ตกลงต่อสัญญากับ เชลซี เพิ่มอีก 3 ปีและยอมย้ายไปร่วมทีม พีเอสวี อีกครั้งด้วยสัญญายืมตัว ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2017 เขาตัดสินใจขยายสัญญายืมตัวกับ พีเอสวี เพิ่มไปจนถึงสิ้นสุดฤดูกาล 2017-18 และแม้ด้วยวัยที่พึ่งย่างเข้าสู่เบญจเพสในตอนนั้นแถมยังอยู่ในสถานะของนักเตะที่ยืมตัวมา แต่เขาก็ถูกมอบหมายให้รับตำแหน่งกัปตันทีมแทนที่ ลุค เดอ ยอง ก่อนจะโชว์ฟอร์มได้ดีตลอดทั้งซีซั่น จนกระทั่งวันที่ 15 เมษายน 2018 ที่เขานำทีมเปิดรัง ฟิลิปส์ สตาดิโอน ไล่ถล่ม อาแจ็กซ์ 3-0 พร้อมคว้าแชมป์ เอเรดิวิซี่ เป็นสมัยที่ 2 ในรอบ 3 ปี

มาร์โก ฟาน กิงเคล กังหันสีส้ม

ฟาน กิงเคล เปิดตัวกับทีมกังหันสีส้มอย่างเป็นทางการในเกมอุ่นเครื่องที่พบกับ เยอรมัน เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2012 โดยถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรองในช่วงครึ่งชั่วโมง สุดท้ายจากเกมที่เสมอกันไปแบบไร้สกอร์ จนมาถึงเดือนพฤษภาคม 2013 ก็ถูกขยับลงมาอยู่ในทีมชุด U-21 ที่ลงแข่งขันใน ยูโร 2013 รุ่น U-21 ที่ อิสราเอล รับเป็นเจ้าภาพ หลังห่างหายจากการเป็นสมาชิกในทีมชุดใหญ่นานร่วม 4 ปี ในที่สุดเขาก็ถูกเรียกตัวอีกครั้งเพื่อลงเตะแมตช์กระชับมิตรที่บุกไปเผาเครื่อง อังกฤษ 2-1 ได้ถึง เวมบลีย์ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2016

มาร์โก ฟาน กิงเคล สไตล์ การเล่น

ตำแหน่งถนัดของ ฟาน กิงเคล คือการเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง แต่เขาก็ยังถูกยกย่องถึงความสามารถที่มีรอบด้านซึ่งรวมไปถึงการสวมบทบาทมิดฟิลด์ตัวรับและตัวรุก จากจุดเริ่มต้นกับ วิเทสส์ เขามักจะถูกมอบหมายให้ประจำการในตำแหน่งเกมรุก แต่ก็ค่อยๆพัฒนาทักษะที่ทำให้ถอยลงมายืนอยู่ในพื้นที่แนวลึกได้ ฟาน กิงเคล ได้รับการยอมรับถึงการเป็นนักเตะที่มีความสามารถรอบด้านและมีศักยภาพที่พร้อมจะก้าวขึ้นไปเป็นสตาร์ดังในอนาคต จุดเด่นในสนามของเขาก็คือความยอดเยี่ยมในการคอนโทรลบอล และประสิทธิภาพในการผ่านบอลแทบทุกระยะ เขายังใช้เท้าได้ดีทั้งสองข้าง วิ่งหาพื้นที่ได้อย่างชาญฉลาดรวมถึงมีทีเด็ดจากลูกยิงระยะไกลอีกด้วย เขายังเคยบรรยายสรรพคุณของตนเองไว้ว่า “ผู้เล่นสไตล์บ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ที่แท้จริง สามารถทำประตูได้และยังพร้อมจะมีส่วนสำคัญในเกมรับ” ส่วนทางด้าน โชเซ่ มูรินโญ่ เคยเปรียบเทียบเขากับ แฟรงค์ แลมพาร์ด และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด โดยให้คำนิยามถึง ฟาน กิงเคล ไว้ว่า เหมือนเป็นเครื่องจักรที่ทรงพลังและยังพูดถึงภาพรวมในสนามของเขาไว้ว่า “เขาปกป้องพื้นที่ในเกมรับได้อย่างน่าทึ่ง และหลังจากนั้นเขาก็พร้อมจะสอดขึ้นไปอยู่ในพื้นที่สุดท้ายด้วยสัญชาตญาณและความต้องการที่จะทำประตู เขายังเล่นลูกอากาศได้ยอดเยี่ยมอีกด้วย”