หลุยส์ ซัวเรซ : Luis Suarez

ประวัติ นักเตะ หลุยส์ ซัวเรซ

หลุยส์ ซัวเรซ เกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม 1987 เป็นชาวอุรุวัย โดยตำแหน่งที่เขาเล่นคือกองหน้าให้กับทีมชาติอุรุกวัยและทีมบาร์เซโลน่าในสเปน เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก โดยซัวเรสเคยพาทีมต้นสังกัดคว้าแชมป์มาแล้วถึง 17 รายการรวมทุกสโมสรที่เคยลงเล่น ทั้งรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก และโคปา อเมริกากับทีมชาติอุรุกวัย เขาสามารถทำประตูได้บ่อยครั้ง จนได้รับรางวัลยูโรเปี้ยน โกลเด้น ชูส์ ถึง 2 สมัย รางวัลรองเท้าทองคำจากลีกในเนเธอแลนด์ รองเท้าทองคำจากพรีเมียร์ลีก และหยุดสถิติของทั้งเมสซี่และโรนัลโด้ในรางวัล พิชิชี่ โทรฟี่ ในลาลีกาสเปนปี 2016 ซึ่งรวมๆแล้วเขาทำประตูไปได้มากกว่า 400 ประตู รวมทุกสโมสรที่เคยลงเล่นและทีมชาติ

ซัวเรสเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลจากการเล่นให้กับทีมเยาวชนของนาซิอองนาลในปี 2003 เมื่อเขาอายุ 19 ปี ได้ย้ายไปเล่นในลีกของเนเธอแลนด์คือทีมโกรนิงเก้น ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในปี 2007 ซัวเรสได้ชูถ้วยรางวัลแรกในปี 2010 ซึ่งป็นบอล KNVB Cup เป็นลีกคัพภายในประเทศเนเธอแลนด์ หลังจบฤดูกาล เขาได้รับรางวัลดาวยิงสูงสุดและนักฟุตบอลยอดเยี่ยมในลีกแห่งปีกับอาแจ็กซ์ ปีต่อมา ซัวเรสได้ช่วยอาแจ็กซ์ป้องกันแชมป์ลีก เขายิงประตูที่ 100 ให้กับทีมในเดือนมกราคม 2011 ก่อนจะย้ายไปเล่นให้กับทีมลิเวอร์พูล และพาทีมต้นสังกัดคว้าแชมป์ลีกคัพในฤดูกาลแรกที่ลงเล่น ในปี 2014 เขามีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ และทีมยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ รวมไปถึงรางวัลโกลเด้น บูทส์ และรางวัลรองเท้าทองคำจากสมาพันธ์ฟุตบอลยุโรปร่วมกับ คริสเตียโน โรนัลโด้ ก่อนจะย้ายอีกครั้งไปร่วมทีมบาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัว 82.3 ล้านยูโร หรือประมาณ 65 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถิติค่าตัวนักฟุตบอลที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์

ในฤดูกาลแรกที่ย้ายมาเล่นกับบาร์เซโลน่า ซัวเรสได้เล่นคู่กับ ลิโอเนล เมสซี่ และเนย์มาร์ ทั้งสามช่วยกันพาทีมคว้า 3 แชมป์ซึ่งเป็นสมัยที่ 2 โดยได้แชมป์จากรายการ ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก โคปา เดล เรย์ และบอลลีกอย่างลาลีกาสเปน โดยทั้งสามคนทำประตูรวมกันได้ 122 ประตูรวมทุกรายการ ถือว่าเล่นประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสเปน ฤดูกาลต่อมากับบาร์เซโลน่า ซัวเรสยังคงได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมอีกครั้ง และเป็นครั้งที่สองที่เขาได้รับรางวัลรองเท้าทองคำจากสมาพันธ์ฟุตบอลยุโรป ซึ่งทให้เขากลายเป็นคนแรกนับตั้งแต่ปี 2009 ที่ได้รับรางวัลนอกเหนือจาก ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน โรนัลโด้ จบฤดูกาลนั้น ซัวเรสยิงไปทั้งหมด 40 ประตูในลีก โดยประตูทั้ง 14 ลูก เขายิงได้จาก 5 นัดหลังสุด รวมไปถึงการจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูอีก 16 ครั้ง ทำให้ซัวเรสกลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทั้งยิงและจ่ายบอลให้เพื่อนยิงในประวัติศาสตร์ลาลีกาสเปน

ซัวเรสเป็นดาวยิงประจำของทีมชาติอุรุกวัย ซึ่งในฟุตบอลโลกปี 2010 เขาเป็นผู้เล่นสำคัญที่ช่วยพาอุรุกวัยคว้าอันดับ 4 ในรายการนี้ ด้วยการยิงไป 3 ประตู และเหตุการณ์สำคัญคือการใช้แขนสกัดบอลบิเวณเส้นประตูก่อนที่ลูกบอลจะข้ามเส้นเข้าไปในนัดที่เจอกับทีมชาติกาน่า รอบ 8ทีมสุดท้าย ส่วนในรายการ โคปา อเมริกา ปี 2011 ซัวเรสทำประตูไป 4 ลูก และมีชื่อเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมในรายการนี้ ในฟุตบอลโลกปี 2014 ที่บราซิลนั้น ซัวเรสยิงประตูที่ 40 ของเขาในนามทีมชาติ ก่อนจะโดนโทษห้ามลงแข่งจากการไปทำร้าย จิออจิโอ้ คิเอลินี่ นักเตะชาวอิตาลี โดยการกัดที่แขน จากพฤติกรรมการใช้มือเล่นบอลละการทำร้ายคู่แข่งถึง 3 ครั้ง รวมไปถึงการพยามพุ่งล้มตบตากรรมการ โดยในปี 2011 สมาคมฟุตบอลอังกฤษได้สั่งลงโทษซัวเรส จากการที่เขาได้เหยียดเชื้อชาติ โดยคู่กรณีคือ ปาทริซ เอฟร่า ทำให้ซัวเรสต้องโดนโทษห้ามลงสนามระยะยาวอีกด้วย

หลุยส์ ซัวเรซ วัยเด็ก

ในวัยเด็ก ซัวเรส อาศัยอยู่ในย่านเซอร์โร เมืองซัลโต้ สมัยเด็กเขาได้ไปเล่นที่ สปอติโว อาร์ติก๊าซ ตอนอายุ 7 ขวบ เขาได้ย้ายตามครอบครัว รวมทั้งพี่น้องอีก 6 คน ไปที่ มอนเต้ วิเดโอ ที่ที่เขาได้เล่นฟุตบอลอีกครั้งกับทีม เออร์เรต้า

หลุยส์ ซัวเรซ นาซิอองนาล

ซัวเรสได้เริ่มเล่นกับสโมสรท้องถิ่น นั่นคือทีมเยาวชนของนาซิอองนาลตอนอายุ 14 พอเขาอายุได้ 16 ปี ซัวเรสใช้หัวโขกกรรมการและตามมาด้วยการโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม โดยในคืนหนึ่งเขาถูกจับได้ว่าหนีไปปาร์ตี้และมึนเมา หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ลงสนามอีกจากการลงโทษของโค้ช ซัวเรสกลับมาจริงจังในฐานะนักฟุตบอลอีกครั้งในช่วงเดือน พฤษภาคม 2005 ตอนซัวเรสอายุ 18 เขาได้ลงสนามในทีมชุดแรกเอาชนะทีม จูเนียร์ เดอ บารันคิญ่า ในบอลโคปา ลิเบอตาดอเรส ซัวเรสยิงประตูแรกของเขาเองได้ในเดือนกันยายน 2005 และช่วยให้นาซิอองนาลคว้าแชมป์ลีกอุรุกวัย ด้วยการยิง 10 ประตูใน 27 นัดที่ลงสนาม

แมวมองจากสโมสรโกรนิงเก้น ลีกในเนเธอแลนด์ให้ความสนใจซัวเรสเป็นอย่างมากในการมาค้นหาดาวรุ่งคนอื่นๆเข้าทีม โดยซัวเรสสามารถทำประตูได้ด้วยการยิงลูกโทษ ทุกคนต่างชื่นชมจากการยิงใส่ทีมดีเฟนเซอร์ หลังจบเกมส์ ทางทีมงานแมวมองได้เข้าไปคุยกับซัวเรส ว่าต้องไก้อยากให้เขาไปร่วมทีม โดยจบฤดูกาล โกรนิงเก้นได้จ่ายไป 8 แสนปอนด์ เป็นค่าตัวของซัวเรสให้กับนาซิอองนาลต้นสังกัดเก่าของเขา ทั้งซัวเรสและแฟนของเขารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ไปยุโรป โดยแฟนสาวของเขาคือ โซเฟีย บัลบิ ย้ายไปบาร์เซโลน่าล่วงหน้าก่อนแล้วตามครอบครัว แต่พวกเขาทั้งสองก็รักษาความสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี โดยที่ซัวเรสก็ต้องการที่จะไปอยู่ใกล้ๆกับเธอ

หลุยส์ ซัวเรซ โกรนิงเก้น

ซัวเรสได้ย้ายเข้ามาสู่ทีมโกรนิงเก้นตอนอายุ 19 ปี เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับตัว เนื่องจากไม่สามารถพูดได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาดัตช์ โดยที่ซัวเรสต้องลงไปเล่นในทีมสำรอง โชคดีที่เขามีเพื่อนร่วมทีมอย่าง บรูโน่ ซิลวาให้การช่วยเหลือทั้งในและนอกสนาม ซัวเรสใช้ความพยายามอย่างมากในการเรียนรู้ทางด้านภาษา เพื่อนๆร่วมทีมของต่างให้ความเคารพต่อความอุสาหะที่พยายามจะเรียนรู้มัน ถึงแม้ว่าซัวเรสจะยิงประตูได้บ่อย แต่เรื่องวินัยยังคงเป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุง ในเดือน มกราคม 2007 ซึ่งมีเกมส์เตะถึง 5 นัด ซัวเรสทำประตูให้ทีมได้ แต่ก็ได้รับ 3 ใบเหลืองกับอีก 1 ใบแดง โดยในเกมส์ที่โกรนิงเก้นต้องพบกับทีมวิทเทสส์ ซัวเรสได้ยิงจุดโทษให้กับทีมและเป็นลูกที่สองของเขาในเกมส์ทำให้ทีมเอาชนะไปได้ 4-3 ในฤดูกาลนั้นซัวเรสยิงไป 10 ประตูใน 29 เกมส์ลีก ช่วยให้ทีมจบที่อันดับ 8 ในฤดูกาล 2006-07 และซัวเรสยิงได้ในเกมส์เยือนที่ออกไปแพ้ต่อปาร์ติซาน เบลเกรดทีมในลีกเซอร์เบีย แต่ก็แพ้ไป 2-4 ในบอลยูโรเปี้ยนลีก

ทีมอาแจ็กซ์ ได้เห็นถึงความสามรถของซัวเรส และได้ยื่นข้อเสนอให้กับโกรนิงเก้น 3.5 ล้านยูโร เพื่อดึงตัวเขามาเล่นให้กับทีม แต่ทางโกรนิงเก้นปฏิเสธข้อเสนอนี้ไป ทำให้ซัวเรสรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากและได้ยื่นฟ้องต่อคณะกรรมการของสมาคมฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ เพื่อให้ช่วยตัดสินในการซื้อตัวครั้งนี้ โดยในวันตัดสิน ทางอาแจ็กซ์เองได้เพิ่มข้อเสนอเป็น 7.5 ล้านยูโรและโกรนิงเก้นก็รับข้อเสนอนั้น

หลุยส์ ซัวเรซ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 2007

ฤดูกาล 2007-08 : ซัวเรสตกลงเซ็นสัญญาระยะเวลา 5 ปีกับทีมอาแจ็กซ์ และเปิดตัวกับทีมในเกมส์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกในนัดที่พบกับทีมสลาเวียร์ ปราก ส่วนนัดแรกในลีกของเขานั้นเขาสามารถทำประตูได้ในนัดที่ได้เล่นในอัมสเตอร์ดัม อารีน่า ในฤดูกาลนั้นอาแจ็กซ์จบที่อันดับ 2 และซัวเรสยิงไป 17 ประตูใน 35 เกมส์ พร้อมกับเพ่อนร่วมทีมอย่าง แยน คลาส ฮุนเตลลาร์ที่ได้เป็นดาวยิงสูงสุดของลีกในฤดูกาลนั้น

ฤดูกาล 2008-09 : เริ่มต้นฤดูกาล 2008-09 อาแจ็กซ์มีหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่คือ มาร์โค ฟานบาสเท่นโดยเขาได้กล่าวถึงซัวเรสว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมากในหลายๆเป้าหมายของทีม แต่ยังคงอารมณ์เสียทุกครั้งที่เห็นจำนวนใบเหลืองที่ซัวเรสได้รับอย่างบ่อยครั้ง ซัวเรสเคยได้รับโทษแบนหนึ่งนัด เพราะว่าเขาได้รับใบเหลืองในลีกครบ 7 ใบในฤดูกาลนั้นจาดนัดที่ทีมไปเยือนทีมอูเทรคท์และเอาชนะไปได้ 2-0 และยังโดนลงโทษอีกจากเหตุการณ์ในช่วงพักครึ่งเวลา ซัวเรสได้มีปัญหากับเพื่อนร่วมทีมอย่างอัลเบิร์ต ลูเก้ ในการเตะฟรีคิ๊ก โดยในฤดูกาลนั้น อาแจ็กซ์จบที่อันดับ 3 ซัวเรสยิงไปทั้งสิ้น 22 ประตูใน 31 นัด ได้เป็นรองดาวซัลโวอันดับ 2 โดยเป็นรองจาก มูเนียร์ เอล ฮัมดาอุย ของเอแซ็ด อัล์คม่าเพียง 1 ลูก แต่เขาก็ยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของอาแจ็กซ์

ฤดูกาล 2009-10 : ก่อนเปิดฤดูกาล ทีมมีการเปลี่ยนแปลงมากมายโดย มาร์ติน โยลได้เข้ามาคุมทีมแทน มาร์โค ฟานบาสเท่น และทีมยังต้องเสียกัปตันอย่างโธมัส แฟร์มาเล่นไปให้กับอาร์เซน่อล โยลเลยแต่งตั้งให้ซัวเรสเป็นกัปตันทีมแทนที่กัปตันคนเก่า โดยซัวเรสยิงประตูในลีกได้อย่างรวดเร็วด้วยการยิงแฮตทริคในนัดที่ชนะ อาร์เคซี วาลไวด์ลไปได้ 4-1 และเขายังคงมีชื่ออย่างต่อเนื่องในการยิงประตูอีกหลายนัดตลอดทั้งฤดูกาล ทั้งในนัดที่ทีมสามารถเอาชนะ สโลวาน บราติสลาว่าในเกมส์ยูโรป้าลีกรอบเพลย์ออฟ รวมไปถึงนัดที่เอาชนะวีวีวี เวนโล่ เขายิงไปถึง 3 ประตูในครึ่งแรกและทีมโรด้า เจซี รวมไปถึงอีก 6 ประตูในบอลถ้วย KNVB โดยเป็นนัดที่พบกับทีมลีกต่ำกว่าอย่างเวเซ็ป จบเกมส์อาแจ็กซเอาชนะไปได้ 14-1 ซึ่งเป็นสถิติของสโมสร ต่อมาในนัดชิงชนะเลิศบอลถ้วย KNVB ที่พบกับทีมเฟเยนูร์ด ซัวเรสยิงได้อีก 2 ประตูทำให้เขาได้เป็นดาวยิงสูงสุดในทัวร์นาเม้นท์นี้จากใน ผลการแข่งขันจบลงที่ประตูรวม 6-1 แต่ในบอลลีกอาแจ็กซ์จบที่อันดับ 2 ตามหลังทีมทเวนเต้อย่างน่าเสียดาย จบฤดูกาล ซัวเรสได้รับรางวัลดาวยิงสูงสุดในลีกด้วยจำนวน 35 ประตูใน 33 เกมส์ โดยประตูรวมทุกถ้วย 49 ประตู ได้เป็นผู้เล่นแห่งปีของอาแจ็กซ์ 2 สมัยติด และเป็นผู้เล่นแห่งปีของสมาคมฟุตบอลดัตช์

หลุยส์ ซัวเรซ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 2010

ฤดูกาล 2010-11 : หลังจากที่ซัวเรสกลับมาจากการรับใช้ทีมชาติในศึกฟุตบอลโลก เขายิงประตูที่ 100 ของตนเองในสีเสื้ออาแจ็กซ์ ซึ่งเป็นนัดที่เสมอกันไป 1-1 กับพีเอโอเคในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกรอบคัดเลือก ทำให้เขาเข้าไปอยู่ในกลุ่มผู้ทำประตูให้สโมสรได้มากที่สุด ซึ่งก่อนหน้านี้มี โยฮัน ครัฟฟ์,มาร์โก ฟานบาสเท่น และเดนนิส เบิร์กแค้มป์ ที่ยิงได้มากกว่า 100 ประตูในสโมสร โดยที่ซัวเรสยังคงยิงอย่างต่อเนื่อง หลังจากยิงแฮตทริคในนัดที่ออกไปเยือนทีมเดอ กราฟชาฟท์ และเอาชนะไปได้ 5-0

เหตุการณ์กัดครั้งแรก : ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2010 ซัวเรสได้กัดอ๊อตมัน บ๊าคคาล นักเตะของพีเอสวี ไอน์โฮเฟ่นที่บริเวณหัวไหล่ ในนัดที่เสมอกันไป 0-0 โดยทางอาแจ็กซ์ได้ลงโทษซัวเรสโดยการสั่งห้ามลงสนาม 2 นัด และปรับเงินอีกด้วยจำนวนเงินที่ไม่เปิดเผย โดยทางสโมสรได้กล่าวว่าจะนำเงินจำนวนนี้ไปบริจาค หนังสือพิมพ์เดอเทเลกราฟ ซึ่งเป็นสื่อของเนเธอร์แลนด์ ได้ตั้งฉายาให้ซัวเรสว่า ”มนุษย์กินคนแห่งอาแจ็กซ์”ส่วนทางสมาคมฟุตบอลได้ลงโทษซัวเรสโดยการสั่งห้ามลงสนาม 7 นัด ภายหลังทางตัวของซัวเรสเองได้ออกมากล่าวแสดงความเสียใจในสิ่งที่ได้กระทำลงไป พร้อมกับอัพโหลดเป็นวิดีโอคลิปผ่านเฟสบุ๊คเพจ

การย้ายไปลิเวอร์พูล : หลังจากที่ได้ถูกสั่งห้ามลงสนาม อาแจ็กซ์ได้รับข้อเสนอจากหลายสโมสรในยุโรปที่สนใจจะดึงตัวซัวเรสไปร่วมทีม ในวันที่ 28 มกราคม 2011 อาแจ็กซ์ได้ตกลงรับข้อเสนอจำนวน 26.5ล้านยูโรหรือ 22.8 ล้านปอนด์จากทีมลิเวอร์พูล สโมสรในอังกฤษ แม้ซัวเรสจะย้ายไปในช่วงที่ถูกลงโทษ แต่เขากลับได้รับความเคารพจากแฟนๆโดยแยกทางกับทีมด้วยดี โดยมีการอำลากันหลังจบเกมส์ ในช่วงเวลานั้นทางโค้ชได้ออกมากล่าวว่าเขาและแฟนบอลยังอยากให้ซัวเรสเล่นให้ทีมต่อไป โดยที่แฟนบอลต่างปรบมือพร้อมกับมีการจุดพลุไฟเพื่อแสดงความอำลาต่อซัวเรส จบฤดูกาลอาแจ็กซ์ได้คว้าแชมป์ลีกและซัวเรสยังได้รับเหรียญรางวัลด้วย จาก 7 ประตู ใน 13 นัด โดยเขายิงให้ทีมไป 111 ประตู จาก 159 นัดในทุกรายการ

หลุยส์ ซัวเรซ ลิเวอร์พูล 2011

ฤดูกาล 2010-11 : เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2011 ซัวเรสได้เซ็นสัญญากับลิเวอร์พูลเป็นระยะเวลา 5 ปีครึ่ง ซึ่งเป็นสถิติค่าตัวที่แพงที่สุดของสโมสรที่ 22.8 ล้านปอนด์ จนกระทั่งการย้ายมาของแอนดี้ แคร์โรว์ที่ 35 ล้านปอนด์ในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ซัวเรสได้เรียกของเบอร์เสื้อหมายเลข 7 โดยที่ไม่รู้เลยวันมันเคยถูกสวมใส่โดยตำนานของลิเวอร์พูลอย่าง เคนนี่ ดัลกริช ซึ่งในตอนนั้นเป็นผู้จัดการทีม และเควิน คีแกน ซัวเรสได้ลงแล่นเป็นนัดแรกให้กับทีมในนัดที่พบกับสต็ค ซิตี้ที่สนามแอนฟิลด์ ก่อนจะเอาชนะไปได้ 2-0 โดยเขาถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรองและยิงลูกที่ 2 ให้กับทีมต่อหน้าแฟนบอลเดอ ค็อปในช่วงนาทีที่ 79 เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในสโมสรของฤดูกาลนั้น และช่วยพาทีมขยับจากอันดับที่ 12 ในช่วงเดือนมกราคม จนจบฤดูกาลได้ที่อันดับ 6 โดยในฤดูกาลนั้นเขายิงไปได้ทั้งหมด 4 ลูกใน 13 นัด

ฤดูกาล 2011-12 : หลังจากซัวเรสจบกลับจากเล่นในทัวร์นาเมนท์ โคปาอเมริกา 2011 ให้กับทีมชาติ ผลงานในสโมสรของเขาดูค่อนข้างน่าผิดหวังจากฟอร์มกันเล่นที่ต่ำลง ลิเวอร์พูลจบที่อันดับ 8 และเขายิงไป 11 ประตูในลีก ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ลีกคัพมาได้สำเร็จ หลังจากที่เอาชนะทีมคาร์ดิฟฟ์ด้วยการยิงลูกโทษตัดสิน วันที่ 28 เมษายน ซัวเรสสามารถทำแฮตทริคในสีเสื้อของลิเวอร์พูลได้เป็นครั้งแรกจากการเอาชนะทีมนอร์ริช ซิตี้ไปได้ 3-0 ที่สนามแคร์โรว์ โร้ด เขายังมีชื่อในรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของบัลลงดอร์อันดับที่ 6

ในฤดูกาลนั้นได้ถูกบันทึกไว้จากเหตุการร์ที่ซัวเรสได้ถูกตัดสินว่ามีความผิดโดยคณะกรรมการของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ในเรื่องที่ซัวเรสได้ใช้พฤติกรรมส่อไปในทางเหยียดเชื้อชาติที่ได้กระทำจ่อ ปาทริซ เฟร่า ในนัดที่ลิเวอร์พูลพบกับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในช่วงเดือนตุลาคม ทำให้เขาถูกลงโทษห้ามลงสนามถึง 8 นัดและปรับเงินอีกเป็นจำนวน 40,000 ปอนด์ แต่ซัวเรสไม่ยอมรับและโต้แย้งต่อคำตัดสินนั้น

หลังจากผลการแข่งขันจบลงด้วยการเสมอกันไป 1-1 กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในวันที่ 15 ตุลาคม 2011 ซัวเรสถูกกล่าวหาว่าได้ทำร้ายเอฟร่า และทางเอฟเอได้ทำการสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยทางซัวเรสได้โพสต์ในทวิตเตอร์ส่วนตัวและเฟสบุ๊คเพจ ว่าเขารู้สึกไม่พอใจกับข้อกล่าวหานั้นและปฏิเสธมันว่าไม่ได้ทำ โดยในวันที่ 16 พฤศจิกายน ทางเอฟเอได้ประกาศว่าจะลงโทษซัวเรสจากกรณีที่เขาได้ใช้คำหยาบคายซึ่งเป็นการดูถูก รวมไปถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเขาที่ขัดต่อกฎของเอฟเอ และข้อหาหลักคือการเหยียดเชื้อชาติของเอฟร่า โดยทางลิเวอร์พูลได้ออกมาแถลงว่า “ซัวเรสเป็นผู้บริสุทธิ์จากข้อกล่าวหาและทางสโมสรพร้อมที่จะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่” ในวันที่ 20 ธันวาคม ทางเอฟเอได้สรุปการพิจารณาคดีนี้เสร็จ ซึ่งซัวเรสจะต้องถูกลงโทษห้ามลงสนาม 8 นัด ปรับ 40,000 ปอนด์ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ในการพบกันกับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในครั้งต่อมาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งก่อนแข่งจะต้องมีการเดินจับมือ โดยซัวเรสได้ปฏิเสธที่จะจับมือกับเอฟร่า โดยหลังจากเหตุการณ์นั้น ทั้งซัวเรสและดัลกริชผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลต้องออกมาแสดงความขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่เต็มใจ ต่อมาซัวเรสโดนแบนอีกหนึ่งนัด จากการแสดงท่าเยาะเย้ยอย่างหยาบคายต่อหน้าแฟนบอลฟูแล่ม

หลุยส์ ซัวเรซ ลิเวอร์พูล 2012

ฤดูกาล 2012-13 : วันที่ 7 สิงหาคม 2012 ซัวเรสได้รับสัญญาระยะยาวฉบับจากสโมสร วันที่ 26 สิงหาคม เขายิงประตูแรกในฤดูกาลนี้ได้ในนัดที่เสมอ 2-2 กับทีมแชมป์ฤดูกาลที่แล้วอย่างแมนเชสเตอร์ซิตี้ที่สนามแอนฟิลด์ วันที่ 29 กันยายน 2012 ซัวเรสยิงแฮตทริคได้ในเกมส์ลีกที่พบกับนอร์ริชซิตี้ ซึ่งเป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน

วันที่ 6 มกราคม 2013 ซัวเรสได้เจตนาใช้มือเล่นบอลก่อนจะทำประตูให้ลิเวอร์พูลเอาชนะทีมแมนฟิลด์ทาวน์ไปได้ 2-1 ในบอลถ้วยเอฟเอคัพ รอบ 3 โดยทางแบรนดอน ร็อดเจอร์ ซึ่งเป็นผู้จัดการทีมได้ออกมาปกป้องซัวเรสจากกรณีนั้น และทางฝั่งของพอล ค็อกซ์ ผู้จัดการทีมของแมนฟิลด์ได้ออกมากล่าว่าเขารู้สึกเสโกรธนิดหน่อย จากสัญชาติญาณการใช้มือของซัวเรส แต่ก็ต้องยอมรับว่าประตูมันเกิดขึ้นไปแล้ว

วันที่ 19 มกราคม ในนัดที่ลิเวอร์พูลพบกับทีมนอริช ซิตี้ เขายิงประตูที่ 7 ของตัวเขาเองใน 3 นัดรวมนัดนี้ ก่อนลิเวอร์พูลจะเอาชนะไปได้ 5-0 หลังจากอาทิตย์นั้น ซัวเรสได้รับปลอกแขนกัปตันทีมเป็นครั้งแรกในบอลเอฟเอคัพรอบ 4 แต่ทีมก็ต้องแพ้ให้กับโอลด์แฮม แอทเลติก ไป 2-3 วันที่ 2 มีนาคม ซัวเรสยิงแฮตทริคได้อีกครั้งในนัดที่พบกับวีแกน แอทเลติก และทีมของเขาเอาชนะไปได้ 4-0 ที่สนาม DW Stadium ในขณะนั้นเขาได้ขึ้นมาเป็นผู้เล่นที่ยิงได้ 20 ลูกภายในฤดูกาลเดียวของลิเวอร์พูลต่อจาก ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ และเฟอร์นันโด ตอร์เรส ซัวเรสสามรถยิงประตูที่ 50 ของตนเองในสีเสื้อลิเวอร์พูล โดยเป็นลูกแรกของเกมส์ ซึ่งเล่นในบ้านสามารถเอาชนะท็อทแน่ม ฮ็อทสเปอร์ไปได้ 3-2 หลังจากนัดนั้น ลิเวอร์พูลไม่แพ้ใครมา 12 นัดติด และซัวเรสได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมหลังจากที่ยอมให้สตีเว่น เจอร์ราร์ดเป็นผู้สังหารจุดโทษแทนตนเอง

หลังจากจบฤดูกาล ซัวเรสมีชื่อติด 1 ใน 6 ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอังกฤษ แต่ได้เพียงอันดับ 2 เป็นรองเพียงแกเร็ธ เบลจากสเปอร์ และซัวเรสยังมีชื่อติดในทีมยอดเยี่ยม ในฤดูกาล 2012-13 ซัวเรสได้รับตำแหน่องรองดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกด้วยการยิงไป 23 ประตู โดยยิงประตูในทุกรายการไป 30 ประตู วันที่ 28 พฤษภาคม ซัวเรสได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นแห่งปีของลิเวอร์พูล โดยได้รับคะแนนโหวตไปถึง 64%

การกัดครั้งที่ 2 : วันที่ 21 เมษายน 2013 ในนัดที่เสมอกันไป 2-2 กับเชลซี ในเกมส์ลีกที่สนามแอนฟิลด์ ซัวเรสได้กัดบรานิสลาฟ อิวาโนวิช ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ที่เขาใช้ฟันกัดและทำร้ายคู่แข่งฝั่งตรงข้าม ซึ่งกรรมการมองไม่เห็นในขณะทำร้าย ทำให้ซัวเรสยิงประตูได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่โด่งดังจนนายเดวิด คาเมร่อน นายกรัฐมนตรของอังกฤษ ต้องสั่งให้ทางสมาคมฟุตบอลตรวจสอบและเอาผิดในกรณีนี้ โดยบทลงโทษจากเอฟเอที่ทางซัวเรสได้รับ คือการปรับเงินโทษฐานการใช้ความรุนแรงในสนามโดยไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นจำนวนเท่าใดต่อสโมสร โดยที่ทางฝั่งอิวาโนวิชไม่ได้ยกโทษให้ซัวเรสจากเหตุการณ์นั้น ทางฝ่ายซัวเรสยินดีจะจ่ายค่าปรับแต่ไม่เห็นด้วยกับการลงโทษของเอฟเอในเรื่องของการสั่งห้ามลงสนาม ซึ่งทางคณะกรรมการได้ตัดสินลงโทษห้ามลงสนามเป็นเวลา 10 นัด และสั่งห้ามอุทธรณ์จากการไม่เห็นด้วยกับข้อกล่าวหารวมถึงพฤติกรรมการต่อต้านที่ซัวเรสได้แสดงออก และยังกล่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของซัวเรสอีกว่าไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ซึ่งผู้เล่นทุกคนต่างอยู่ในระดับสูงกันแล้ว โดยมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ และการแสดงความเป็นมืออาชีพเป็นสิ่งสำคัญ รวมไปถึงความประพฤติที่ดีทั้งในและนอกสนามโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เล่นที่ยังมีอายุน้อย

วันที่ 31 พฤษภาคม 2013 ซัวเรสได้กล่าวว่าเขากำลังมองหาทางย้ายทีมออกจากลิเวอร์พูลในช่วงฤดูร้อน โดยสื่อให้ประเด็นไปในเรื่องครอบครัวของซัวเรสสำหรับเหตุผลในการย้ายทีมของเขา วันที่ 6 สิงหาคม หลังจากลิเวอร์พูลได้ปฏิเสธข้อเสนอจำนวน 40 ล้านปอนด์จากอาเซน่อลที่ต้องการตัวซัวเรส แต่ซัวเรสยังแสดงความจำนงค์ว่าเขาต้องการย้ายออกจากทีมโดยเขาอ้างว่าทางลิเวอร์พูลเคยสัญญาไว้ว่าเขาสามารถย้ายทีมได้หากสโมสรไม่ผ่านรอบคัดเลือกบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก 2013-14 วันต่อมา ร็อดเจอร์ได้ออกมากล่าวว่าทางสโมสรไม่เคยให้สัญญาใดๆกับซัวเรส หลังจากเหตุการณ์นั้นสื่ออังกฤษได้รายงานว่า ซัวเรสถูกสั่งห้ามฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ซึ่งเป็นคำสั่งของร็อดเจอร์ วันที่ 8 สิงหาคม จอห์น เฮนรี่ เจ้าของสโมสรลิเวอร์พูลกล่าวว่า ซัวเรสจะยังไม่ได้รับอนุญาตให้ย้ายทีมในช่วงฤดูร้อนนี้

หลุยส์ ซัวเรซ ลิเวอร์พูล 2013

ฤดูกาล 2013-14 ผู้เล่นแห่งปี : วันที่ 14 สิงหาคม ซัวเรสเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบในการเล่นเราะยังต้องการจะย้ายออกจากทีม แม้ตามข่าวจะระบุว่าเขายังต้องการจะอยู่กับทีม และต่อสัญญาฉบับใหม่ โดยอ้างอิงจากผู้สนับสนุนของทีม ทำให้เขากลับมาอยู่ในฟอร์มการเล่นเดิม โดยเขาได้กลับมาเป็นกำลังหลักอีกครั้ง และได้กลับมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่หลังจากที่ได้แสดงความเสียใจในเรื่องที่ต้องการจะย้ายทีมต่อเพื่อนร่วมทีม แต่ก็ไม่ได้มีการกล่าวขอโทษต่อผู้จัดการทีม

วันที่ 24 ธันวาคม เขาได้ปรากฎตัวครั้งแรกในฤดูกาลด้วยการเจอกับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในลีกคัพรอบ 3 ที่โอลด์แทฟฟอร์ดซึ่งลิเวอร์พูลแพ้ไป 1-0 วันที่ 29 กันยายน ซัวเรสกลับมาทำประตูได้ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งป็น 2 ลูกที่ทำให้ทีมเอาชนะซันเดอร์แลนด์ไปได้ 3-1 ที่สนามสเตเดี้ยม ออฟไลท์ วันที่ 5 ตุลาคม ซัวเรสยิงประตูขึ้นนำให้กับทีมในสนามแอนฟิลด์พาทีมเอาชนะคริสตัล พาเลซ ไปได้ 3-1 วันที่ 26 ตุลาคม เขาทำแฮตทริคได้เป็นครั้งที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก และเป็นครั้งแรกในสนามแอนฟิลด์ เอาชนะเวสท์บรอมวิช อัลเบี้ยนไปได้ 4-1 ตามรายงานของ บีบีซี สื่อข่าวของต่างประเทศ ค่าเฉลี่ยที่ซัวเรสจะทำแฮตทริคได้ต่อนัดอยู่ที่ ทุก 20.3 นัดในลีก ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่ดีที่สุดในจำนวน 46 คนที่ทำแฮตทริคได้ วันที่ 4 ธันวาคม ซัวเรสยิง 4 ประตูให้กับทีมเอาชนะนอริช ซิตี้ไป 5-1 ในแอนฟิลด์ ทำให้เขาเป็นผู้เล่นคนแรกที่สามารถยิงแฮตทริคใส่ทีมเดิมได้ โดยเขายิงไป 11 ประตูใน 5 นัดที่พบกัน วันที่ 15 ธันวาคม ซัวเรสได้กลับมาเป็นกัปตันทีมอีกครั้งในนัดที่พบกับสเปอร์ เขายิงไป 2 ประตูและจ่ายให้เพื่อนยิงอีกหนึ่ง เอาชนะไปได้ 5-1 ที่สนามไวท์ ฮาร์ทเลน ทำให้ลิเวอร์พูลทำแต้มไล่จี้ทีมนำอย่างอาร์เซน่อลโดยตามหลังอยู่เพียงแค่ 2 แต้ม วันต่อมาซัวเรสมีชื่อรับรางวัลนักเตะที่มีแฟนบอลสนับสนุนมากที่สุดในปี 2013 วันที่ 20 ธันวาคม ซัวเรสต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีมเป็นระยะเวลา 4 ปีครึ่ง วันที่ 1 มีนาคม ซัวเรสยิงประตูที่ 100 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เอาชนะเซาท์แธมตันไปได้ 3-0 ที่สนามเซนท์ แมร์รี่ นัดถัดมาเขายิงประตูที่ 25 ในฤดูกาลเอาชนะทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2009 วันที่ 22 มีนาคม ซัวเรสยิงแฮตทริคได้เป็นครั้งที่ 6 ในลีก และเป็นครั้งที่ 3 ในฤดูกาลนี้ในเกมส์ที่เอาชนะคาร์ดิฟฟ์ไปได้ 6-3 ที่สนามคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้สเตเดี้ยม วันที่ 30 มีนาคม เขาได้ทำลายสถิติของร็อบบี้ ฟาวเลอร์ลง หลังจากยิงประตูที่ 28 ในลีก ในนัดที่เอาชนะสเปอร์ในบ้านไป 4-0 ทำให้ทีมขึ้นจ่าฝูงจาก 6 นัดที่ผ่านมา วันที่ 20 เมษายน เขายังยิงได้อีกในนัดที่พบกับนอริช จึงทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนแรกของลิเวอร์พูลที่ยิงได้ 30 ประตูในลีก นับตั้งแต่เอียน รัชช์เคยทำไว้ในฤดูกาล 1986-87 และทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนที่ 7 ที่ยิงได้ 30 ประตูในพรีเมียร์ลีกต่อจาก แอนดี้ โคล อลัน เชียร์เร่อ เควิน ฟิลลิปป์ เธียร์รี่ อองรี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และโรบิน ฟานเพอซี่ วันที่ 18 เมษายน ซัวเรสมีชื่อติด 1 ใน 6 ผู้เล่นยอกเยี่ยมของการลงคะแนนโดยกลุ่มผู้เล่นในลีกครั้งที่ 2 วันที่ 27 เมษายน เขาได้รับรางวัล ต่อมาวันที่ 5 พฤษภาคม 2014 ซัวเรสมีชื่อในรางวัลของสมาคมนักข่าวอังกฤษ เขาจบฤดูกาลนั้นที่ 31 ประตู ใน 33 เกมส์ ได้รับรางวัลรองเท้าทองคำ และลิเวอร์พูลจบที่อันดับ 2 รองแชมป์แต่ยังได้กลับไปเล่นบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกอีกครั้ง ซัวเรสยังได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก รวมทั้งรางวัลรองเท้าทองคำของฝั่งยุโรปร่วมกันกับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ วันที่ 21 พฤษภาคม 2014 ซัวเรสเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในยุโรปของปีนั้น โดยมีลิโอเนล เมสซี่ สลาตัน อิบราโมวิช และคริสเตียโน่ โรนัลโด้เคยได้รับรางวัลนี้มาก่อน

หลุยส์ ซัวเรซ บาร์เซโลน่า 2014

วันที่ 17 กรกฎาคม 2014 ซัวเรสได้ตกลงย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลนาในสัญญาการย้ายทีม 5 ปี โดยไม่เปิดเผยค่าตัว อย่างไรก็ตามจากแหล่งข่าวให้ความเห็นว่า ค่าตัวของซัวเรสน่าจะประมาณ 65 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 83 ล้านยูโร ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกในตอนนั้น เขาได้สวมเสื้อหมายเลข 9 ในฤดูกาลนั้น เขาได้พลาดลงสนามช่วยทีมต้นสังกัดในช่วงครึ่งฤดูกาลแรกจากการโดนลงโทษห้ามลงสนามจากกรณีที่ไปกัดแขนคิเอลินี่ในช่วงฟุตบอลโลกปี 2014 และยังโดนสั่งห้ามเข้าทุกสนามไม่เว้นแต่ในฐานะผู้ชมข้างสนามในช่วงเวลา 4 เดือนจนถึงวนที่ 26 ตุลาคม

วันที่ 24 กรกฎาคม ซัวเรสและทนายของเขาได้ไปยื่นอุทธรณ์ต่อศาลกีฬาโลกหรือ CAS เพื่อร้องขอให้ยกเลิกการลงโทษ ที่สำนักงานในกรุงลัวร์ซาน ประเทศสวิสเซอแลนด์ หลังจากได้รับการยืนยันจากทางฟีฟ่าในเรื่องที่เกี่ยวกับโทษแบนและการสั่งห้ามลงสนามเป็นเวลา 4 เดือน และอีก 9 นัดในการเล่นให้กับทีมชาติ ถายหลัง CAS ได้สั่งยกเลิกการลงโทษกิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลของซัวเรส และอนุญาตให้ลงฝึกซ้อมกับทีมต้นสังกัดได้ ถึงแม้จะมีคำสั่งยกเลิกแล้วก็ตามแต่ซัวเรสยังคงห้ามลงเล่นในรายการโคปาอเมริกา 2015

หลังจากที่มีคำสั่งจาก CAS ซัวเรสจึงได้ลงสนามเป็นนัดแรกกับบาร์เซโลน่าซึ่งเป็นนัดกระชับมิตรกับคัลบ ลีออน ทีมในเม็กซิโก ที่คัมป์นู โดยเปลี่ยนมาเป็นตัวสำรองแทนราฟินญ่าในช่วง 14 นาทีสุดท้ายก่อนหมดเวลา นัดนั้นบาร์เซโลน่าเอาชนะไปได้ 6-0 คว้าถ้วยแกมพ์เปอร์ โทรฟี่มาครอง ซึ่งทั้งเมสซี่และเนมาร์ถูกเปลี่ยนตัวออกตอนที่ซัวเรสลงไป

ฤดูกาล 2014-15 : ซัวเรสเล่นนัดแรกให้ต้นสังกัดในลีกในเกมส์เอลกลาซิโก ที่พบกับรีล มาดริด เขาได้เล่นร่วมกับทั้งเมสซี่และเนมาร์ ซัวเรสได้ส่งบอลให้เนมาร์ทำประตูได้ตั้งแต่นาทีที่ 4 แต่ก็ต้องถูกเปลี่ยนตัวออก และจบลงที่บาซ่าเอาชนะไปได้ 3-1 หลังจากนั้นซัวเรสยิงประตูแรกให้กับตัวเองและสโมสรได้ในวันที่ 26 พฤศจิกายน ในเกมส์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกซึ่งเอาชนะอาโปเอลไปได้ 4-0 วันที่ 20 ธันวาคม เขายิงประตูแรกในนัดที่ 8 ที่ลงสนามในลาลีกาสเปนซึ่งเอาชนะคอร์โดบาในคัมป์นูไปได้ 5-0

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2015 ซัวเรสยิง 2 ลูกในนัดที่เจอกับทีมแชมป์ลีกจากอังกฤษอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดแรก และเอาชนะไปได้ 2-1 วันที่ 4 มีนาคม เขายิงให้บาซ่าเอาชนะบียารีลในเกมส์โคปา เดลเรย์ รอบรองชนะเลิศ 3-1 ทำให้ทีมเข้าไปชิงแชมป์ครั้งที่ 37 ในวันที่ 8 มีนาคม ซัวเรสยิงอีก 2 ประตูในนัดที่เปิดบ้านถล่ม ราโย่ บาเยกาโนไป 6-1 วันที่ 22 มีนาคม 2015 ซัวเรสยิงประตูที่ 2 ในเกมส์ทำให้ทีมเอาชนะรีลมาดริดไป 2-1 ที่คัมป์นู ในการแถลงข่าวหลังจบเกมส์ของหลุยส์ เอนริเก้ เจ้านายใหญาของบาซ่า ได้ออกมากล่าวยกย่องซัวเรส โดยกล่าวไว้ว่า “น้อยคนนักที่จะทำประตูได้อย่างเขา มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงเลือกเขาเข้ามาในทีม เขาสามารถทำลายเกมส์ของฝั่งตรงข้ามและเขายังเป็นผู้ทำประตูที่แท้จริง จะมีซักกี่คนที่จะทำได้สำเร็จ”

ในวันที่ 15 เมษายน ซัวเรสยิง 2 ลูกในเกมส์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดแรก ซึ่งเอาชนะทีมปารีส แซงแชร์กแมงไปได้ 3-1 ที่สนามปาร์ค เดอแปร็ง โดยเขาได้แตะลอดหว่างขาของดาวิด ลุยซ์ถึง 2 ครั้งก่อนจะยิงประตู วันที่ 2 พฤษภาคม เขาทำแฮตทริคได้เป็นครั้งแรกให้กับสโมสร ในเกมส์ที่ถล่มคอร์โดบาไปได้ 8-0 ซัวเรสยิงประตูได้อีกครั้งในเกมส์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกรอบชิงชนะเลิศกับยูเวนตุส เมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ช่วยให้ทีมพลิกกลับมาชนะ 3-1 โดยจากลูกยิงของเมสซี่ที่จิอันลูจิ บุฟฟ่อนเซฟก่อนจะมาเข้าทางของซัวเรส บาร์เซโลน่าคว้า 3 แชมป์ไปครองในฤดูกาลนั้น

หลังจบฤดูกาลแรกกับทีม เขาทำประตูไปทั้งสิ้น 25 ลูกกับการจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูอีก 20 ครั้งรวมทุกรายการ โดยในแนวรุกบองบาซ่านั้นมีเมสซี่ ซัวเรส และเนมาย์เป็น 3 ประสาน จนได้มีการเรียกสั้นว่า “MSN” ซึ่งยิงรวมกันไป 122 ประตูเป็นประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลสเปน

หลุยส์ ซัวเรซ บาร์เซโลน่า 2015

ฤดูกาล 2015-16 : ซัวเรสเปิดตัวในฤดูกาลนี้อย่างร้อนแรงโดยเขาทั้งยิงและยังส่งบอลให้เพื่อนทำประตูในนัดที่บาซ่าเอาชนะเซบีย่าไปได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษในรายการยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ 2015 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม วันต่อมาเข้าได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลผู้เลานยอดเยี่ยมของลีกยุโรป วันที่ 31 ตุลาคม ซัวเรสยิงได้อีกในนัดที่ต้องไปเยือนเกตาเฟ่ จากการตอกส้นของเซอร์กี้ โรแบร์โต้ ส่งให้เขายิง เป็นประตูที่ 11 ในฤดูกาล และประตูที่ 300 นับตั้งแต่เขาเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพ วันที่ 21 พฤษภาคม ซัวเรสยิง 2 ลูกช่วยให้ทีมเอาชนะ รีลมาดริดไปได้ 4-0

วันที่ 17 ธันวาคม ซัวเรสยิงไป3 ลูกในนัดที่พบกับทีมกว่างโจว เอฟเวอร์แกรนด์ทีมจากจีนไปได้ 3-0 ในศึกฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ 2015 รอบรองชนะเลิศที่เมืองโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสถิติการทำแฮตทริคครั้งแรกของรายการนี้ และในรอบชิงชนะเลิศ เขายิงไป 2 ลูกช่วยให้ทีมเอาชนะทีมริเวอร์เพลทไปได้ 3-0 จบทัวร์นาเมนท์ เขาได้ตำแหน่งดาวซัลโวที่ยิงไป 5 ประตู และได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมในคราวนั้น

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2016 ซัวเรสยิงไป 4 ประตูในเกมส์โคปา เดลเรย์ นัดที่เอาชนะบาเลนเซียไปได้ 7-0 วันที่ 20 เมษายน เขายิงได้ 4 ลูกอีกครั้งช่วยให้บาซ่าเก็บชัยชนะเหนือทีมดิปอติโว ลาคอรุนญ่าไปได้ 8-0 ในลาลีกา 3 วันต่อมาเขายิงไปอีก 4 ลูก ในเกมส์เปิดคัมป์นูเอาชนะสปอร์ติ้ง กิฆ่อน ไป 6-0 เขากลายเป็นนักเตะคนแรกที่ยิง 4 ประตูใน 2 เกมส์ติดของลาลีกาสเปน วันที่ 30 เมษายนเขากลายเป็นนักเตะคนที่ 2 ที่ยิงได้ 35 ประตูในหนึ่งฤดูกาล

ในนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2015-16 ซัวเรสยิงแฮตทริคส่งท้ายช่วยให้บาซ่าเอาชนะกรานาด้าไปได้ 3-0 คว้าแชมป์ลาลีกาไปครอง เขายิงได้ 40 ประตูในลีกซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัล Pichichi Trophy ไปครอง ซึ่งเป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ปี 2009 ที่ได้รับรางวัลนอกเหนือจากเมสซี่และโรนัลโด้ รวมไปถึงรางวัลรองเท้าทองคำของทางฝั่งยุโรปอีกด้วย โดยใน 14 ลูกนั้นมาจาก 5 นัดหลังสุด และซัวเรสยังเป็นผู้จ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูได้เยอะเท่ากับเมสซี่เพื่อนร่วมทีมของเขา ซัวเรสจึงเป็นนักเตะที่ยิงและจ่ายบอลสูงสุดในลาลีกาสเปน

วันที่ 22 พฤษภาคม 2016 เขาได้รับอาการบาดเจ็บจากเกมส์ที่บาซ่าเอาชนะเซบีย่าในรอบชิงชนะเลิศโคปา เดลเรย์ 2-0 โดยทางสโมสรออกมายืนยันว่าซัวเรสมีอาการบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวายข้างขวา ทำให้เขาพลาดลงสนามให้ทีมชาติในศึกโคปา อเมริกา เซนเทนนาริโอโดยในทีมชาตินั้นซัวเรสไม่ได้ลงเล่นตั้งแต่กรณีที่มีปัญหาช่วงฟุตบอลโลก 2014 และจะพลาดลงแข่งขันอีกในรายการดังกล่าวในปี 2015 โดยจบฤดูกาลตัวรุกทั้ง 3 ของบาซ่าหรือ MSN ยิงรวมกันไปได้ 131 ประตูทำลายสถิติของปีที่แล้วที่ยิงไป 122 ประตู

หลุยส์ ซัวเรซ บาร์เซโลน่า 2016

ฤดูกาล 2016-17 : ซัวเรสยิงประตูแรกได้ในรายการซุปเปอร์คัพของสเปน ซึ่งเป็นนัดที่เอาชนะเซบีย่าไป 2-0 และยังทำแฮตทริคได้ในนัดที่เอาชนะเรียล เบติสไป 6-2 ซึ่งเป็นการยิงฟรีคิ๊กนอกกรอบ โดยในนัดที่ 100 ที่ซัวเรสได้ลงเล่นให้กับบาซ่าเป็นเกมส์ที่เอาชนะอลาเบสไปได้ในบ้าน 2-1 แม้จะไม่มีประตูในนัดนั้นของซัวเรส แต่เขาก็บอกว่าเขาได้สร้างความแตกต่างให้เห็นรวมไปถึงการจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูได้มากกว่าโรนัลโด้และเมสซี่ โดยใน 100 นัดเขายิงไปแล้ว 88 ประตูและจ่ายบอลอีก 43 ครั้งในทีมบาซ่า เมื่อเปรียบเทียบกับโรนัลโด้ที่ยิงไป 95 ประตูและจ่ายบอลอีก 29 ครั้ง รวมไปถึงเมสซี่ที่ยิงไป 41 ประตูจ่ายบอลเพียง 14 ครั้ง

ซัวเรสเริ่มต้นในบอลรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก เขายิงได้ 2 ประตูจากนัดที่เอาชนะกลาสโกว์ เซลติกไป 7-0 และตามมาด้วยนัดที่เอาชนะ เลกาเนส 5-1 วันที่ 11 มกราคม 2017 ซัวเรสยิงประตูที่ 100 กับบาซ่าได้สำเร็จจากรายการโคปา เดล เรย์รอบ 16 ทีมในนัดที่เจอกับแอทเลติก บิลเบา

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ ซัวเรสทำประตูได้แต่ก็ตต้องโดนใบเหลืองใบที่ 2 เป็นใบแดงและออกจากการแข่งขันไป จากการทำฟาว์ลใส่โกเก้ ในรอบก่อนรองชนะเลิศฟุตบอลโคปาเดลเรย์ นัดที่เจอกับแอตเลติโก มาดริด ซึ่งเป็นใบแดงแรกของเขาในสีเสื้อบาซ่า ทำให้เขาต้องพลาดลงช่วยทีมในนัดชิงชนะเลิศ โดยบทสัมภาษณ์หลังจบเกมส์ เขาออกมากล่าวว่าไม่เห็นด้วยและต้องการอุทธรณ์จากเหตุการณ์นี้ “ฉันหัวเราะหลังจากที่รับใบเหลืองใบที่สอง จริงๆมันไม่ใช่การฟาว์ล มันไม่ใช่แน่นอน โดยหวังว่าทางสโมสรจะจัดการอะไรซักอย่าง”

หลุยส์ ซัวเรซ บาร์เซโลน่า 2017

ฤดูกาล 2017-18 : วันที่ 23 กันยายน ซัวเรสยิงให้ทีมเอาชนะกิโรนา ในศึกคาตาลัน ดาร์บี้แมทช์ วันที่ 14 ตุลาคม ซัวเรสช่วยให้ทีมไม่แพ้ในช่วงเปิดฤดูกาลในนัดที่พบกับแอตเลติโก้ มาดริด ที่สนามวานด้า เมโทรโปลิตาโน่ กรุงมาดริด และเขายังยิงอีก 2 ประตูในนัดที่พบกับเลกาเนสและยัดเยียดความปราชัยในบ้านไป 3-0 เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน โดยซัวเรสยังคงยิงอย่างต่อเนื่อง ในวันที่ 17 ธันวาคม ซัวเรสยิงไปอีก 2 ประตูให้ทีมเอาชนะลาคอรุนญ่าไปได้ 4-0 หลังจากนั้นไม่นานเขายิงให้บาซ่าขึ้นนำมาดริดและเอาชนะไป 3-0 ที่เบอนาบิว

หลังกลับมจากช่วงพักลีกหนีหนาว ในวันที่ 14 มกราคม ซัวเรสยิงไป 2 ประตู พลิกกลับมาเอาชนะเรียลโซเซียดัดไปได้ 4-2 วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ซัวเรสยิงแฮตทริคช่วยให้ทีมเอาชนะไปได้ 6-1 ที่คัมป์นู วันที่ 31 มีนาคม ซัวเรสและเมสซี่ช่วยกันยิงตีเสมอทำให้ทีมแพ้จากการยิงนำไปก่อนของเซบีย่า ผลจบลงที่เสมอกันไป 2-2 ที่สนามรามอน ซานเชส ปิฮวน วันที่ 14 เมษายน ซัวเรสยิงให้บาซ่าเอาชนะบาเลนเซียไป 2-1 ช่วยให้ทีมไม่แพ้ใครมา 39 นัดติดต่อกัน

วันที่ 21 เมษายน ซัวเรสยิง 2 ลูก ช่วยให้บาซ่าคว้าแชมป์สมัยที่ 4 ติดต่อกันในรายการโคปาเดลเรย์ นัดที่ถล่มเซบีย่าไป 5-0 บาซ่าเกือบจะถูกหยุดสถิติไม่แพ้ใครไว้ที่นัดที่พบกับรีล มาดริด ในวันที่ 6 พฤษภาคม ผลเสมอกันไป 2-2 ด้วยประตูของซัวเรสและเมสซี่ แต่โรนัลโด้และเบลก็ยิงตีเสมอให้กับมาดริด แต่สถิติดังกล่าวก็จบลงที่ 43 นัด กลังจากที่แพ้ให้กับเลบานเต้เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม แต่หลังจากนัดนั้นก็กลับมาเอาชนะคู่แข่งได้ 5-1 โดยซัวเรสยิงไป 1 ลูกรวมถึงนักเตะใหม่ที่เพิ่งย้ายมาอย่างฟิลลิปเป้ คูตินโญ่ที่ยิงแฮตทริค

หลุยส์ ซัวเรซ บาร์เซโลน่า 2018

ฤดูกาล 2018-19 : วันที่ 2 กันยายน 2018 ซัวเรสยิง 2 ลูกให้บาซ่าเอาชนะทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาอย่างฮูเอสก้าไป 8-2 สัปดาห์ต่อมา เขายิงได้อีกในนัดที่เอาชนะเรอัล โซเซียดัด 2-1 ทำให้ทีมชนะทั้ง 4 นัดในช่วงเปิดฤดูกาล วันที่ 28 ตุลาคม ซัวเรสยิงแฮตทริคได้ในคัมป์นู จากการเล่นในนัดเอลกลาซิโก้ที่บกับมาดริด ไป 5-1 ซัวเรสเป็นนักเตะคนที่ 2 ที่ยิงแฮตทริคได้ในเอลกลาซิโก้ต่อจากเมสซี่ นับตั้งแต่โรมาริโอ้เคยทำไว้ในปี 1994

หลุยส์ ซัวเรซ สไตล์การเล่น

ซัวเรสสามารถสร้างสรรค์ประตูในทุกโอกาสจากลูกยิงที่ทรงพลัง โดยที่เขามีความสามารถและเทคนิคที่แพรวพราวตามที่ฟีฟ่าได้ระบุไว้ เป็นที่รู้จักกันอย่างดีว่าความสามารถของเขาคือการพาบอลเข้าไปกดดันกองหลังและการแตะบอลลอดหว่างขาก็สามารถทำได้บ่อยซึ่งเป็นที่ชอบของแฟนบอล แฮร์รี่ เร้ดแนปป์เคยกล่าวถึงซัวเรสไว้ว่า”เขาสามรถแตะลอดขาได้แม้กระทั่งนางเงือก” ซัวเรสสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในตัวรุกทั้งกองหน้าตัวเป้าและตัวต่ำ

ออสการ์ ทาบาเรซโค้ชทีมชาติอุรุกวัยกล่าวถึงซัวเรสว่า”เขาเป็นกองหน้าที่ดีซึ่งมีฝีมือระดับโลก” และโค้ชของลิเวอร์พูลอย่างเคนนี่ ดัลกริชก็ยังพูดถึงเขาว่า”ซัวเรสเป็นคนฉลาด เขาได้รับประสบการณ์จากอาแจ็กซ์อย่างมหัศจรรย์” อดีตกองหน้าของลิเวอร์พูลอย่างจอร์จ อัลดริจ กล่าวถึงซัวเรสว่า”ทักษะของเขาได้พาตัวเขาเองไปอยู่ในตำแหน่งที่จะทำประตู ซึ่งเอาชนะกองหลังฝั่งตรงข้ามได้สบาย” ซัวเรสยังได้รับการยกย่องอีกว่าเขาได้ฝึกซ้อมอย่างหนักตามตารางฝึก และเขามีความคล่องแคล่วทำให้เขาสามรถพัฒนาไปได้รอบด้านและพร้อมจะสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมอยู่เสมอ

อดีตโค้ชของอาแจ็กซ์อย่างมาร์โก ฟานบาสเท่นซึ่งมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับซัวเรสได้วิจารณ์เกี่ยวกับการได้รับใบเหลืองของเขาโดยอธิบายว่า “ซัวเรสเป็นคนที่คาดเดาได้ยาก เขาเป็นคนที่มีอิทธิพลทำให้เขากลายเป็นคนพิเศษ ในบางครั้งซัวเรสอาจจะเล่นได้โดดเด่น แต่ก็ไม่สามรถเปลี่ยนความพยายามเหล่านั้นให้กลายเป็นประตูได้ แม้เขาจะมีจุดอ่อน แต่ในฐานะผู้นำของซัวเรส ทำให้เขาแตกต่างไปจากคนอื่น”

หลุยส์ ซัวเรซ พุ่งล้ม

ซัวเรสถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางเรื่องการพุ่งล้มของตน ทั้งเพื่อนร่วมทีม ผู้จัดการทีม และจากสื่อต่างๆ โดยในเดือนมกราคม 2013 ซัวเรสยังคงทำพฤติกรรมดังกล่าวในนัดที่พบกับสโต๊ค ซิตี้ โดยที่แบรนดอน ร็อดเจอร์เคยออกมาให้ความเห็นจากการพุ่งล้มของซัวเรสว่าเป็นการกระทำที่น่าอาย และต้องได้รับการตักเตือนจากสโมสร ซัวเรสเคยโดนกล่าวหาว่าได้ทำร้ายผูเล่นฝั่งตรงข้ามในเกมส์พรีเมียร์ลีกและยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก โดยในเดือนธันวาคม 2013 เว็บฟุตบอลของสเปนชื่อ El Gol Digital ยกให้ซัวเรสเป็นอันดับ 5 ในรายชื่อของนักบอลที่เล่นนอกเกมที่สุดในโลก และเหตุการณ์ในปี 2018 ฟุตบอลโลกปีนั้นเป็นเกมส์ที่พบกับโปรตุเกส หลังจากที่ซัวเรสชนกับผู้เล่นของโปรตุเกส ซัวเรสทำท่าว่าจะบาดเจ็บที่ศรีษะทั้งที่หัวของเขาไม่ได้รับการกระทบกระเทือนก็ตาม

หลุยส์ ซัวเรซ อดิดาส

ซัวเรสมีผู้สนับสนุนเป็นอาดิดาส บริษัทเครื่องแต่งกายจากเยอรมนี เมื่อปี 2014 เขายังได้แสดงโฆษณาให้กับ บีท ร่วมกับนักฟุตบอลระดับโลกคนอื่นๆรวมทั้งเนมาร์และเธียร์รี่ อองรี ในธีม “The Game Before The Game” โดยออกมาในลักษณะที่ก่อนการแข่งขันนักบอลจะใส่หูฟังเพื่อฟังเพลงก่อนลงสนาม ส่วนในประเทศของเขานั้น มีโฆษณาจาก Abitab,Antel,Cablevision,Garnier,Pepsi และ Samsung ซัวเรสได้ร่วมงานกับบริษัทผลิตเกมส์ยักใหญ่อย่าง EA Sport ซึ่งได้ทำเกมส์ฟีฟ่าแต่ก็ต้องพักไปจากกรณีที่ไปกัดคิเอลินี่ในช่วงฟุตบอลโลกปี 2014 ในโซเชี่ยลมีเดียซัวเรสมีผู้ติดตามในอินสตาแกรมมากกว่า 28 ล้านคนซึ่งมากที่สุดจากบุคคลสำคัญในอุรุกวัย

หลุยส์ ซัวเรซ ชีวิตส่วนตัว

ซัวเรส เกิดในเมืองซัลโต้ ประเทศอุรุกวัย เป็นบุตรชายคนที่ 4 จาก 7 คน พี่ชายของเขา เปาโล ซัวเรสก็เป็นนักฟุตบอลอาชีพเช่นกัน เล่นให้กับสโมสรไอซิโดร เมทาปันในเอล ซัลวาดอ ซัวเรสย้ายตามครอบครัวมาที่มอนเตวิเดโอตอนอายุ 7 ขวบ โดยที่พ่อม่ของเขาแยกทางกันตอนเขาอายุเพียง 9 ปี ในมอนตวิเดโอเขาได้เรียนรู้ทักษะฟุตบอลจากข้างถนน ขณะเดียวกันเขาก็รับงานกวาดพื้นถนน ซึ่งความแตกต่างระหว่างอดีตกับปัจจุบันของซัวเรสนั้นเขามักจะยกเอาเรื่องความยากจนในอดีตมาเป็นข้ออ้างว่าเป็นสาเหตุของความก้าวร้าวที่เขามักแสดงออกในสนามอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ยังได้รับการอภัยจากแฟนๆฟุตบอลในอุรุกวัยตรงข้ามกับทางฝั่งยุโรป ซัวเรสนั้นเป็นคนหลายเชื้อชาติ โดยในทะเบียนประวัติได้ระบุไว้ว่าปู่ของเขาก็เป็นคนผิวสี ทำให้เรื่องเหล่านี้ถูกโยงไปยังกรณีที่มีปัญหากับปาทริซ เอฟร่า เลยถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษสั่งห้ามลงเล่น 8 นัดจากกรณีนั้น ในด้านชีวิตรักของซัวเรสนั้น เขาเริ่มต้นเดทกับโซเฟีย บัลบิ ตอนอายุ 15 ในมอนเตวิเดโอ แต่โซเฟียและครอบครัวต้องย้ายที่อยู่ไปบาร์เซโลน่าในปี 2003 ซัวเรสจึงได้มุ่งมั่นเพื่อจะพัฒนาฝีเท้าตนเองเพื่อที่จะได้ย้ายไปเล่นในยุโรป และได้เจอกับโซเฟียอีก ซัวเรสแต่งงานกับโซเฟียเมื่อปี 2009 เขามีลูกชายและลูกสาวอย่างละคน โดยลูกสาวของเขามีชื่อว่า เดลฟิน่า ซัวเรสมีรอยสักเป็นชื่อของเดฟิน่าที่บริเวณข้อมือ และเขามักจะแสดงความดีใจหลังจากทำประตูได้โดยการจูบข้อมือตนเอง ท่าทางเหล่านี้ได้ไปอยู่ในเกมส์FIFA 15 ของ EA Sport ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2014 ซัวเรสย้ายไปทีมบาร์เซโลน่า เขาได้ไปอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวของโซเฟีย ซัวเรสเคยกล่าวว่า “ลิเวอร์พูลทำทุกวิธีให้ผมอยู่ต่อ แต่เป้าหมายและครอบครัวของผมอยู่ที่สเปน ซึ่งเป็นที่ที่ภรรยาของผมอยู่ มันจึงเป็นทั้งความฝันและความตั้งใจของผมตลอดมา ผมเชื่อว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ถูกต้องแล้ว” ซึ่งเขาได้กล่าวไว้ในอัตชีวประวัติของเขานั่นเอง