เกมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดรังเอติฮัตส์ สเตเดี้ยม ต้อนรับการมาเยือนของ เอฟเวอร์ตัน โดยทัพของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เพิ่งพ่ายแพ้เป็นนัดแรกของซีซั่นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาต่อ เชลซี 2-0 ส่งผลให้ก่อนลงแข่ง พวกเขาตกจากจ่าฝูงด้วยการตามหลัง ลิเวอร์พูล อยู่ 1 แต้ม ทว่าเกมนี้ก็ไม่ใช่งานยากจนเกินไปเมื่อสามารถยิงสลุตใส่ผู้มาเยือนได้แบบสบายเกือก 3-1 และข่าวดียิ่งกว่านั้นก็คือแฟน ๆ แมนฯ ซิตี้ ได้มีโอกาสเห็น เควิน เดอ บรอยน์ มิดฟิลด์ชาวเบลเยียมที่เจ็บหนัก กลับมาลงสนามอีกครั้ง
เดอ บรอยน์ ได้รับโอกาสในนาทีที่ 75 ด้วยการเปลี่ยนตัวลงมาแทนที่ของ ริยาด มาห์เรซ ซึ่งถือว่าเป็นการคัมแบ็กกลับมาลงสนามให้กับทีมอีกครั้งในรอบหลายเดือน เพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวได้รับบาดเจ็บอย่างหนักบริเวณเอ็นหัวเข่าระหว่างการฝึกซ้อม ส่งผลให้ต้องพักรักษาตัวยาว ๆ แม้จะกลับมามีชื่อเป็นตัวสำรองบ้างในบางเกม แต่มันยังไม่หายสนิทมากพอกับการลงเล่นเกมหนัก ๆ ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ของมิดฟิลด์วัย 27 ปี เชื่อว่าจะช่วยให้ ทัพเรือใบสีฟ้า เดินหน้าตะลุยเก็บแต้มเพื่อครองตำแหน่งแชมป์ลีกเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันให้จงได้
แม้หลายคนอาจมองไม่เห็นรูโหว่ตอนที่ขาด เดอ บรอยน์ ไป เนื่องจากดาวเตะในทีมหลายคนโดยเฉพาะ แบร์นาโด้ ซิลวา ลงมาทดแทนหน้าที่มิดฟิลด์ตัวรุกได้อย่างดี กระนั้นบางจังหวะที่ดูในเกมเมื่อขาดดาวเตะรายนี้ มันไม่ไหลลื่นเหมือนตอนเขาอยู่ การวางบอลยาว การยิงไกล รวมถึงการจ่ายบอลชนิดเฉียบคมคือสิ่งที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขาดหายไปอย่างชัดเจน เดอ บรอยน์ อาจไม่ใช่นักเตะประเภทความเร็วสูง ไม่ใช่นักเตะแนวลีลาแพรวพราว แต่ขอบอกเลยว่าการออกบอลของเขาแต่ละจังหวะไว้ใจได้เสมอและสามารถสร้างโอกาสในการทำประตูให้เพื่อนร่วมทีมบ่อยครั้ง นั่นคือศักยภาพของดาวเตะรายนี้ที่แฟน ๆ ต่างก็คิดถึงจนเมื่อเห็นเขาลงสนาม ไม่แปลกที่แฟนบอลจะตะโกนดังกึกก้องเพื่อแสดงออกถึงความดีใจในครั้งนี้
การกลับมาของ เดอ บรอยน์ คืออาวุธหนักของ เป๊ป
การกลับมาของเขา นั่นหมายถึงอาวุธหนักของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้เวลาเจิดจรัสอีกครั้ง แม้ แบร์นาโด้ ซิลวา จะเล่นได้ดีในตำแหน่งนี้ แต่เมื่อเจ้าของสัมปทานเดิมกลับมาฟิตเต็มร้อย ยังไงก็คงต้องหลีกทางให้กับดาวเตะรายนี้อยู่ดี เชื่อเหลือเกินว่าเขาจะสร้างปรากฏการณ์การยิงกระจุยกระจายของทีมให้กลับมาอีกครั้งแบบไม่ต้องเดาล่วงหน้าก็รู้ทันทีว่าจะเป็นยังไง
