เชลซี : Chelsea

ประวัติสโมสร เชลซี

เชลซี (Chelsea) ชื่อเต็มว่า (Chelsea Football Club) หรือเรียกกันนามฉายาว่า “สิงห์บูลส์” อยู่เมืองฟูแล่ม ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกุงลอนดอน ถูกก่อตั้งขึ้นในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1905 โดย กุส เมียร์ส (Gus Mears) เป็นผู้นำหลักในการก่อตั้งสโมสรขึ้นมา และได้ทำการเปลี่ยนแปลงจากสนามกรีฑามาเป็นสนามฟุตบอล พร้อมกับตั้งชื่อทีมว่า ฟูแล่ม เอฟซี (Fulham FC) แต่ต่อมาก็มีการปรับเปลี่ยนชื่ออยู่หลายชื่อเหมือนกันทั้ง เคนชิงตัน เอฟซี (Kensington FC), สแตมฟอร์ดบริดจ์ เอฟซี (Stamford Bridge FC) และ ลอนดอน เอฟซี (London FC) จนท้ายที่สุดก็ปรับเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า เชลซี เอฟซี (Chelsea FC) และช่วงปีแรกที่ลงเล่นดิวิชั่น 1 นั้นได้สร้างชื่อเสียงทางประวัติศาสตร์ของสโมสรเป็นอย่างมาก ด้วยการคว้าแชมป์ไปครองในปี ค.ศ. 1906-1907 ซึ่งเป็นการเล่นอยู่บนดิวิชั่น 1 ในระยะเวลา 2 ปีเท่านั้น ต่อมาเชลซีก็ขึ้นๆ ลงๆ อยู่เป็นประจำระหว่างดิวิชั่น 1 กับดิวิชั่น 2 แล้วช่วงปี ค.ศ. 1915 เชลซี ก็ได้ทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศรายการเอฟเอคัพเป็นครั้งแรก แต่แล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหมายไว้ เพราะแพ้ต่อ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ แม้ว่าเชลซีจะไม่ได้คว้าแชมป์เอฟเอคัพในครั้งนี้ แต่ก็ทำให้ชื่อเสียงของสโมสรเชลซีเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น ส่วนในปี ค.ศ. 1919-1920 เชลซี ก็ได้วาดลวดลายออกมาได้สวยงามด้วยการจบในอันดับที่ 3 ทำให้สโมสรมีรายได้และงบประมานมากขึ้น จนสามารถซื้อนักเตะซุปเปอร์สตาร์และกุนซือมากฝีมืออย่าง เท็ด เดร็ค (Ted Drake) ที่มาทำทีมในช่วงปี ค.ศ. 1952 พร้อมกับยกระดับการเล่นและปรับโครงสร้างภายในสโมสรเชลซีให้ทันสมัยขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน เท็ด เดร็ค ก็พาเชลซีประสบความสำเร็จอีกครั้งด้วยการคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ในปี ค.ศ. 1957-1955 แล้ว เท็ด เดร็ค ก็อยู่จนถึงปี ค.ศ. 1961

เชลซี 2000

ก่อนที่จะโดนทางบอร์ดบริหารปลดออก แล้วก็แต่งตั้ง ทอมมี่ โดเชอร์ตี้ (Tommy Docherty) เป็นผู้จัดการทีมแทนทันที และก็มีการเปลี่ยนนักเตะมากมาย ด้วยการปล่อยนักเตะเก่าของจากสโมสร แล้วดึงนักเตะหน้าใหม่เข้ามา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ปีเตอร์ ออสกู๊ด (Peter Osgood) ที่กลายเป็นตำนานของสโมสรตลอดกาล ถัดมาอีก 2 ปี ทอมมี่ โดเชอร์ตี้ ก็พาเชลซีคว้าแชมป์ลีกคัพได้อีก จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1968 เชลซีก็พาเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ทุกรายการ แต่ก็ไม่สามารถคว้าแชมป์มาได้สักรายการ เลยทำให้บอร์ดบริหารของสโมสรได้ตัดสินใจปลด ทอมมี่ โดเชอร์ตี้ พร้อมกับแต่งตั้ง เดฟ เช็กตัน (Dave Sexton) เข้ามาทำทีมใหม่ แต่แล้ว เดฟ เช็กตัน ก็ใช้เวลาปลุกปั้นนักเตะเพียงฤดูกาลเดียวเท่านั้นก็กลับมาคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้อีกครั้งในปี ค.ศ. 1970 พอหลังจากนั้นไม่นานทางสโมสรเชลซีก็ตกต่ำอย่างหนักถึงขั้นตกชั้นเลยทีเดียว ทำให้สโมสรต้องขายนักเตะดาวดังหลายตำแหน่งออกไป ในช่วงปี ค.ศ. 1982 ก็มี เคน เบตส์ (Ken Bates) เข้ามาเทคโอเวอร์สกิจการสโมสรทั้งหมดด้วยราคาเพียง 1 ล้านปอนด์ แล้วก็มีการปรับปรุงสนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้สโมสรกลับมาทำผลงานได้ดีเลย และเกือบจะตกชั้นไปเล่นดิวิชั่น 3 ด้วย พอผ่านมาอีก 2 ปี ผู้จัดการทีมอย่าง จอร์น นีล (John Neal) ก็พาเชลซีขึ้นสู่ดิวิชั่น 2 ได้ ด้วยการคว้าแชมป์ ต่อมาก็ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนเดิม จนกระทั่งถึงปี 1988-1989 เชลซีก็ก้าวขึ้นมาเล่นดิวิชั่น 1 ได้อีกครั้ง หลังจากทำแต้มห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 17 แต้ม แล้วในช่วงปี ค.ศ. 1992-2004 เชลซีก็กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง หลังจากเข้าชิงแชมป์หลายรายการมากมาย จนได้รับฉายานามจากสื่อต่างๆ ว่าเป็น “สิงห์บอลถ้วย” แล้วในช่วงปี ค.ศ. 2004 นักการเมืองมหาเศรษฐีแห่งเมืองรัสเซียอย่าง โรมัน อับราโมวิช (Roman Abramovich) ก็ได้เข้ามาเทคโอเวอร์สกิจการของสโมสรไปในราคา 140 ล้านปอนด์ และมีการทุ่มงบประมานมากมายมหาศาลในการไล่ล่านักเตะชั้นนำมาร่วมทีม แล้วก็ได้แต่งตั้ง โชเซ่ มูรินโญ่ (Jose Mourinho) เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ทันที ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของบอร์ดบริหาร เพราะ โชเซ่ มูรินโญ่ พาเชลซีประสบความสำเร็จมากมายทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีกและแชมป์ลีกคัพ แล้วปีต่อมาเชลซีก็รักษาแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีก 1 สมัย พร้อมกับคว้าแชมป์เอฟเอคัพต่อ นอกเหนือจากนี้เชลซียังมีลุ้นแชมป์ทุกรายการที่ลงแข่งขันด้วย และปี ค.ศ. 2017 ก็หวนกลับมาคว้าแชมป์ลีกคัพได้อีกครั้ง ช่วงปี ค.ศ. 2008-2009 บอร์ดบริหารก็ได้ตัดสินใจแต่งตั้ง กุส ฮิดดิงค์ (Guus Hiddink) เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมแทน โชเซ่ มูรินโญ่ แล้วก็พาเชลซีคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ด้วย แต่ว่าผลงานโดยรวมของสโมสรก็ยังไม่เป็นที่ประทับใจของบอร์ดบริหาร ทำให้ กุส ฮิดดิงค์ ถูกปลดออก

เชลซี 2010

แล้วก็ดึง คาร์โล อันเชล็อตติ (Carlo Ancelotti) เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมต่อ หลังจากนั้นเชลซีก็ประกาศศักดาได้อีกครั้งด้วยความแชมป์พรีเมียร์ลีก พร้อมกับทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ด้วยผลประตูรวมทั้งหมด 103 ประตู และยังป้องกันแชมป์เอฟเอคัพได้อีก แล้วช่วงปี ค.ศ. 2011-2012 นับว่าเป็นปีทองของเชลซีเลยก็ได้ เพราะเชลซีสามารถเอาชนะจุดโทษ บาเยิร์น มิวนิค ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นอกจากนี้ยังคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้อีก 1 สมัย ส่วนผลงานในพรีเมียร์ลีก จนอันดับที่ 6 แต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก แล้ว ราฟาเอล เบนิเตซ (Rafael Benitez) ก็เข้ามารับช่วงต่อจาก คาร์โล อันเชล็อตติ ซึ่งในปีนั้น ราฟาเอล เบนิเตซ พาเชลซีคว้าแชมป์ยูโรป้าลีกได้เป็นสมัยแรก หลังจากจบฤดูกาลนั้นทางบอร์ดบริหารก็ได้ตัดสินใจดึง โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาทำทีมอีกครั้ง ช่วงปีแรกไม่สามารถพาเชลซีคว้าแชมป์ไหนได้เลย จนเข้าสู่ปี 2014-2015 โชเซ่ มูรินโญ่ ก็พาเชลซีประสบความสำเร็จมรายิ่งใหญ่อีกครั้งด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้งพรีเมียร์ลีกและแคปิตอลวันคัพ แล้วช่วงปี 2015-2016 เชลซีถูกคาดหวังสูงมาก แต่ก็ไม่สามารถทำออกมายอดเยี่ยมได้เหมือนกับปีก่อนหน้า เนื่องจากความแตกแยกระหว่างนักเตะกับผู้จัดการทีม จนทำให้บอร์ดบริหารต้องดึง อันโตนิโอ คอนเต้ (Antonio Conte) เข้ามาทำทีมต่อ พร้อมกับพาเชลซีเถลิงแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ด้วย และที่สำคัญยังสร้างสถิติแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการคว้าชัยชนะ 30 เกมติดต่อกัน แต่ในปีถัดมาก็ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ จนบอร์ดบริหารต้องทำการเปลี่ยนผู้จัดการทีมใหม่ทันที หลังจากที่ปลด อันโตนิโอ คอนเต้ ออก ก็ได้แต่งตั้ง เมาริซิโอ ซาร์รี่ (Maurizio Sarri) เข้ามาทำทีมแทน ในช่วงแรกที่ทำทีมนั้นสามารถพาเชลซีสร้างสถิติชนะหลายเกมติดต่อกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไปไม่ถึงฝั่งเพราะฟอร์มดร็อปลงไปดื้อๆ ถึงขั้นแพ้หลายเกมติด จนมาถึงเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2019 ทางบอร์ดบริการก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าสโมสรได้ดึงอดีตตำนานสโมสรอย่าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด (Frank Lampard) เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมเป็นที่เรียบร้อย

เชลซี แชมป์

เกียรติประวัติแชมป์ระดับทวีปยุโรป ได้แก่ แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก (1 สมัย) 2012 / แชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้าลีก (2 สมัย) 2013, 2019 / แชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ (1 สมัย) 1998 / แชมป์ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ (2 สมัย) 2013, 2019 : เกียรติประวัติแชมป์ระดับประเทศ ได้แก่ แชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ (6 สมัย) 1955, 2005, 2006, 2010, 2015, 2017 / แชมป์ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ (2 สมัย) 1984, 1989 / แชมป์ เอฟเอฟคัพ (8 สมัย) 1970, 1996, 2000, 2007, 2009, 2010, 2012, 2018 / แชมป์ อีเอฟแอลคัพ หรือ แชมป์คาราบาวคัพ (5 สมัย) 1965, 1998, 2005, 2007, 2015 / แชมป์ เอฟเอคอมมิวนิตี้ชิลด์ หรือ แชมป์แชริตี้ชิลด์ (4 สมัย) 1955, 2000, 2005, 2009 / แชมป์ ฟูลล์ เมมเบอร์ส คัพ (2 สมัย) 1986, 1990

สแตมฟอร์ด บริดจ์

สแตมฟอร์ด บริดจ์ (Stamford Bridge) เป็นสนามเหย้าของเชลซีมาตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรและได้เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1877 แต่ช่วง 28 ปีแรกของสนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ นั้น ถูกใช้เป็นสนามกรีฑาร่วมอยู่ด้วย โดยสนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้ถูกออกแบบจากสถาปนิกที่มีชื่อว่า อาชิบัลด์ ลีตช์ สามารถบรรจุแฟนบอลทั่วสนามได้ถึง 42,000 คน และในช่วง ปี ค.ศ. 2017-2018 ได้เพิ่มความบรรจุแฟนบอลมั่วสนามเป็น 60,000 คน ส่วนสถิติแฟนบอลที่เข้ามารับชมสูงสุด อยู่ที่182,905 คน เป็นเกมที่พบกับ อาร์เซน่อล ในวันที่ 12 ตุลาคม 1958 และสถิติแฟนบอลที่เข้ามารับชมน้อยที่สุด อยู่ที่ 110 คน เป็นเกมที่พบกับ ลินคอล์น ซิตี้ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1960