เซร์คิโอ รามอส : Sergio Ramos

ประวัติ นักเตะ รามอส

เซร์คิโอ รามอส หรือชื่อเต็มคือ เซร์คิโอ รามอส การ์เซีย (เกิดเมื่อ วันที่ 30 มีนาคม 1986) โดยเป็นนักเตะชาวสเปน ที่ทำหน้าที่เป็นกัปตันทีม ทั้งทีม เรอัล มาดริด และทีมชาติสเปน โดยมีตำแหน่งเป็นกองหลังตัวกลาง และสามารถเล่นตำแหน่งแบ็คขวาได้อีกด้วย

หลังจากได้ทำการลงเล่นให้กับทีม เซบีญ่า ในช่วงฤดูร้อนของ ปี ค.ศ.2005 รามอสก็ได้ทำการย้ายเข้ามาเป็นนักเตะของทีมเรอัล มาดริด จากนั้นรามอสก็กลายมาเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีม และสามารถกวาดรางวัลเกียรติยศไปถึง 19 รางวัล และกลายมาเป็นหนึ่งในนักเตะกองหลังที่สามารถทำประตูได้มากที่สุดในลีกลาลีกา สเปน

รางวัลเกียรติยศที่รามอสเคยได้รับ ประกอบไปด้วย แชมป์ลีกลาลีกา สเปน 4 สมัย,ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก 4 สมัย ซึ่งทุกรางวัลที่เคยได้รับ รามอสก็เป็นหนึ่่งในนักเตะคนสำคัญที่ทำให้ทีมคว้าแชมป์มาได้ และยังมีรายชื่อติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่าอีกด้วย ส่วนทางทีมชาติ รามอสได้ทำการลงเล่นให้กับทีมชาติของสเปน โดยลงเล่นฟีฟ่า เวิลด์คัพ ทั้งหมด 4 รอบ ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ 3 รอบ,รามอสได้แชมป์ ฟีฟ่าเวิลด์คัพ 2010, ยูฟ่า ยูโร 2008 และ 2012 ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเตะ ในดรีมทีมเวิลด์คัพ ปี 2010 และ นักเตะ ในยูฟ่า ยูโร ทีมออฟเดอะทัวร์นาเม้น ในปี 2012 รามอสได้ลงเล่นครั้งแรกเมื่ออายุ 18 ในปี 2013 และกลายเป็นนักเตะชุดทีมชาติ ที่มีอายุน้อยที่สุด ที่สามารถเป็นกัปตันกว่า 100 แมทซ์ และกลายเป็นนักเตะที่ได้รับตำแหน่งกัปตันทีม มากที่สุดเป็นอันดับ 2

รามอสได้รับการเลือกว่าเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในโลก และได้รับการยกย่องในเรื่องของการจ่ายบอล และการทำประตู เคียงข้างกับลีโอเนล เมสซี่ รามอสสามารถทำประตูติดต่อกัน 15 ฤดูกาลของลาลีกา และมีชื่ออยู่ใน ฟิฟโปร 9 ครั้ง ได้รับการบันทึกว่าเป็นกองหลังยอดเยี่ยมมากที่สุดในสามอันดับแรกและทีมยอดเยี่ยมแห่งปียูฟ่า ทั้งหมด 7 ครั้ง กองหลังยอดเยี่ยมของลาลีกา 5 ครั้ง และติดทีมยอดเยี่ยมของลาลีกา ในฤดูกาล 2015-16

รามอส เซบีย่า

สโมสรที่รามอสค้าแข้งด้วย

เซบีญ่า

รามอสเริ่มต้นการค้าแข่งกับทีมเซบีญ่า ซึ่งเป็นทีมท้องถิ่น โดยเล่นในชุดเยาวชนร่วมกับ เฆซุส นาบาส และ อันโตนีโอ เพอร์ตาส โดยการลงแข่งในครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2004 ซึ่งรามอสเป็นตัวสำรอง และได้ทำการลงเล่น ในนาที 64 แทนที่ ฟรันซิสโก แกลลาร์โด ซึ่งบุกไปเยือน ลา คอรุนญ่า โดยผลการแข่งขัน แพ้ 0-1 ประตู
ในฤดูกาล 2004-05 รามอสได้ลงเล่นทั้งหมด 41 นัด ให้กับเซบีญ่า และคะแนนรวมของทีม อยู่อันดับ 6 ของ ยูฟ่ายูโรปาลีก(ยูฟ่าคัพ ในขณะนั้น) มีผลการแข่งขัน ชนะ เรอัล โซเซียดาด(2-1) และ เรอัล มาดริด(2-2) โดยในช่วงเริ่มต้นฤดูกาล รามอสสามารถทำประตูแรกได้ โดยยิงลูกที่ 2 ในการแข่งขันกับทีม นาซีอองนัล และมีผลการแข่งขัน 4-1

เรอัล มาดริด

ในช่วงฤดูร้อน ปี ค.ศ.2005 รามอส ได้ถูกซื้อตัวโดยทีม เรอัล มาดริด เป็นจำนวนเงิน 27 ล้านยูโร รามอสเป็น กองหลัง สัญชาติสเปน คนเดียว ที่ถูกฟอเรนติโน่ เปเรซ ซื้อตัว ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานของสโมสร
ในสโมสรเรอัล มาดริด รามอสได้สวมเสื้อ หมายเลข 4 ซึ่งแต่ก่อนถูกสวมโดย เฟร์นันโด อิเอร์โร และในวันที่ 6 ตุลาคม ปีเดียวกัน รามอสสามารถทำประตูแรกสำหรับ Merengues (ชื่อเล่นของทีมเรอัล มาดริด ซึ่งมาจากชื่อขนมในภาษาฝรั่งเศส) ในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกส์ กับทีม โอลิมเปียกอส และมีผลการแข่งขัน 1-2

ในฤดูกาลแรกของรามอสเล่นตำแหน่งเป็นกองหลังตัวกลาง และบางครั้งก็ถูกย้ายไปเล่น ตำแหน่งรอง คือ กองกลางตัวรับ แต่เมื่อมีการย้ายเข้ามา ของ คริสตอฟ เม็ตเซลดอร์ และเปเป้ ในฤดูกาล 2007-08 รามอสก็โดนย้าย ไปเล่นในตำแหน่งแบ็คขวา

ใน 4 ฤดูกาลแรกของการค้าแข่งในทีม เรอัล มาดริด รามอสสามารถแสดงศักยภาพของตำแหน่งกองหลัง ที่สามารถทำประตูได้ ไม่เหมือนผู้เล่นตำแหน่งกองหลังคนอื่นๆ สามารถทำประตูรวม ได้มากกว่า 20 ประตู และยังได้รับโทษใบแดง 9 ใบ จากทั้งหมด 24 ใบแดง ของสโมสร รวมไปถึงฤดูกาลแรกที่เล่นให้กับทีม โดยใบแดงใบแรก มาจากการที่รามอสทำผิดกติกาทั้งหมด 2 ครั้ง ในการแข่งที่บุกไปแพ้ แอร์ราเซเด อัสปัญญอล 1-0 ในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ.2005

รามอส 06

ในฤดูกาล 2006-07 รามอสสามารถทำประได้ทั้งหมด 5 ประตู รวมไปถึงประตูที่ได้จากการ เสมอกับทีม บาเซโลน่า 3-3 และในปีนั้น เรอัล มาดริด ก็สามารถคว้าตำแหน่งแชมป์ ครั้งที่ 30 ของ สเปน ลีก แชมเปี้ยนชิพ 4 พฤษภาคม ค.ศ.2008 รามอสได้ช่วยทำประตูให้กับ กอนซาโล อิกวาอิน ในเกมที่บุกไปชนะโอซาซูนา 2-1 นาที 89 และทำให้สโมสรเรอัล มาดริด ได้คว้าตำแหน่งแชมป์ ครั้งที่ 31 ของลีกและในวันสุดท้ายของฤดูกาล รามอสสามารถทำประตูได้ 2 ประตู จากการแข่งกับทีม เลบันเต้ ซึ่งมีผลการแข่งขัน 5-2 ส่งผลให้รามอสมีผลงานการทำประตูรวมทั้งหมด 5 ประตู ในฤดูกาลนี้

24 สิงหาคม ค.ศ.2008 รามอสทำประตูใน ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา ในการแข่งขันระหว่าง เรอัล มาดริด และ บาเลนเซีย โดยมีสกอร์ 2-1 และ 4-2 ทำให้มีสกอร์รวม 6-5 ชนะทีมบาเลนเซีย หลังจากการแข่งขัน เรอัล มาดริดเหลือนักเตะเพียง 9 คนหลังจากที่ ราฟาเอล ฟาน เดอร์ฟาร์ต และรุด ฟาน นิสเตลรอย ออกจากทีมเรอัล มาดริด และในช่วงท้ายฤดูกาล รามอส ก็เกิดอาการฟอร์มตก และสามารถคืนฟอร์มการเล่นกลับมา ในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ.2009 โดยทำประตู ด้วยการยิงแบบลูกวอลเล่ย์ ชนะทีม มายอร์กา 3-0 ในอาทิตย์ต่อมา รามอสก็สามารถทำประตูในการแข่งกับทีม โอซาซูนา ทำให้สามารถชนะไปด้วยสกอร์ 3-1 และรามอสก็ได้มีชื่ออยู่ในทีมยอดเยี่ยมแห่งปี 2018 ทั้ง ฟีฟ่า และยูฟ่า ฟิฟโปร 2007-08 และได้รับอันดับที่ 21 นักเตะยอดเยี่ยมยุโรปปี 2008

รามอส 09

ในช่วงต้นฤดูกาล 2009-10 รามอสได้รับการแต่งตั้ง เป็น 1 ใน 4 กัปตันของเรอัล มาดริด เนื่องมาจากอาการบาดเจ็บร้ายแรงที่หัวเข่าของเปเป้ ตำแหน่งการเล่นส่วนใหญ่ของรามอส จะเป็นกองหลังตัวกลาง สามารถทำได้ 4 ประตู จากการแข่งขันทั้งหมด 33 ครั้ง และในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2010 รามอสได้ทำการลงเล่น 200 แมทซ์ อย่างเป็นทางการ ในการแข่งขันที่เจอกับ บิยาร์เรอัล แม้จะมีผลการเล่นที่โดดเด่น แต่ลอส บลานคอส (ชื่อเล่นของทีม เรอัล มาดริด) ก็ไม่ได้รับรางวัลใดๆ

ในการแข่งขันที่เรอัล มาดริด แพ้บาร์เซโลน่า 0-5 ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ.2010 รามอสถูกไล่ออกจากเกม หลังจากที่ทำการเสียบลิโอเนล เมซซี่จากด้านหลัง และทำการผลัก การ์เลส ปูโยล หลังจากที่เกิดเหตุการณ์นี้ ใบแดงที่รามอสได้รับ ก็เท่ากับ เฟร์นันโด เอียร์โร ซึ่งได้รับใบแดงไปทั้งหมด 10 ใบ แต่รามอสก็ลงเล่นน้อยกว่า เอียร์โรถึง 264 แมทซ์

20 เมษายน ค.ศ.2011 ในการแข่งขันโคปา เดล เรย์ นัดสุดท้าย เรอัล มาดริดชนะบาร์เซโลนา และได้ทำการเดินขบวน เฉลิมฉลอง ในขณะที่อยู่บนรถบัส รามอสก็ได้ทำถ้วยรางวัล ตกไปใต้ท้องรถ ทำให้ถูกรถเหยียบถ้วยรางวัลเสียหาย 12 กรกฏาคม ค.ศ.2011 รามอสทำการต่อสัญญากับสโมสร เรอัล มาดริด จนถึงปี 2017 และในปีต่อมา ในวันที่ 25 เมษายน ในการแข่งขันแชมเปี้ยนลีกส์ เรอัล มาดริด ไปเยือนทีม บาเยิร์น มิวนิค ในการแข่งขัน รามอสได้ยิงจุดโทษ แต่พลาด ส่งผลให้นัดนั้น เรอัล มาดริด แพ้ 1-3 ซึ่งรามอสเป็นนักเตะที่สามารถเก็บบอลได้มากที่สุดในทีม และเป็นนักเตะที่เก็บบอลได้มากที่สุด เป็นลำดับที่ 3 ในการแข่งขันแชมเปี้ยนลีกส์ปีนั้น

9 มกราคม ค.ศ.2013 รามอสถูกไล่ออกหลังจากทำฟาวล์ครั้งที่ 2 ในช่วงหลังของการแข่งขันในบ้าน ระหว่างเรอัล มาดริด และ เซลต้า บีโก้ โดยมีผลการแข่งขัน ชนะ 4-0 รามอสได้ถูกพักการแข่งขันทั้งหมด 4 แมทซ์ หลังจากที่กล่าวคำสบประมาทต่อกรรมการ ในเดือนต่อมา หลังจากที่รามอส ทำประตู ในแมทซ์ที่เจอกับ ราโย บาเยกาโน เหลือเพียง 20 นาทีก่อนจะหมดเวลาในครึ่งแรก รามอสก็ได้รับใบเหลือง 2 ใบ ภายใน 1 นาที แม้ว่าเรอัล มาดริด จะชนะ ราโย บาเยกาโน 2-0 แต่ก็ส่งผลให้รามอส ได้รับใบแดงในนามสโมสร เรอัล มาดริด เป็นใบที่ 16 และเป็นใบที่ 12 ในลีก

ในช่วงปลายเดือนของกุมภาพันธ์ ค.ศ.2013 หลังจากที่ขาดนายประตูอย่าง อิเกร์ กาซิยาส เนื่องมาจากาอาการบาดเจ็บ รามอสได้ขึ้นเป็นกัปตันทีมของเรอัล มาดริด และสามารถทำประตูชนะ บาร์เซโลนา 2-1 ในเกมที่ 2 ได้ 14 ธันวาคม ค.ศ.2013 รามอสได้ทำลายสถิติของสโมสร โดยได้รับใบแดงใบที่ 18 ในการแข่งขันกับโอซาซุนา เสมอ 2-2 หลังจากนั้น ใบแดงใบที่ 19 ก็ตามมา ในแมทซ์ที่แข่งขันในบ้าน แพ้บาร์เซโลน่า 3-4 ในวันที่ 23 มีนาคม 2014 และ 26 เมษายน รามอสได้ทำประตูด้วยการโหม่งใส่ทีมโอซาซุนา ที่สนามเบอร์นาบิว ซึ่งเป็นประตูแรกของรามอส ในช่วงระยะเวลา 6 เดือน และอีก 3 วันต่อมา รามอสก็สามารถทำประตูด้วยลูกโหม่ง 2 ประตู ภายใน 4 นาที ส่งผลให้ทีม เรอัล มาดริด บุกไปชนะ บาเยิร์น มิวนิค 4-0 และเกมถัดมาก็มีการแข่งขันอีกครั้ง แต่ผลออกมาเสมอกัน ส่งผลให้ทีมเรอัล มาดริด มีสกอร์รวม 5-0 ทำให้เรอัล มาดริด เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ในรอบ 12 ปี ซึ่งการทำประตูของรามอส ที่ใช้เวลาห่างกันเพียงแค่ 4 นาที เป็นสถิติระยะเวลาที่ไวที่สุด ในรอบรองชนะเลิศของยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก

ในวันที่ 4 พฤษภาคม รามอสทำประตูตีเสมอ 2-2 กับบาเลนเซีย หลังจากนั้นเพียงแค่ 3 วัน รามอสสามารถทำประตูจากลูกฟรีคิ้กลูกแรก ในเกมที่ไปเยือน เรอัล บายาโดลิด ทำให้ผลการแข่งขันเสมอ 1-1 รามอสสามารถทำประตูได้ติดต่อกัน 3 แมทซ์ ในลาลีกา และ 4 แมทซ์สำหรับเรอัล มาดริด เป็นครั้งแรก 24 พฤษภาคม วันสุดท้ายของการแข่งขัน ระหว่างเรอัล มาดริด และแอตเลติโก้ มาดริด รามอสสามารถทำประตูตีเสมอด้วยการโหม่ง ในช่วงทดเวลา ทำให้ต้องมีการต่อเวลาพิเศษ และเรอัล มาดริดก็สามารถคว้าชัยชนะไปได้ ด้วยสกอร์ 4-1 และทำให้ได้รับ ลา เดซิม่า (La Decima) จากการคว้าแชมป์ ซึ่งลา เดซิม่า แปลว่า 10 ในภาษาสเปน แปลว่าครั้งที่ 10 ซึ่งเป็นถ้วยที่ 10 ของเรอัล มาดริด และรามอส ก็ได้รับการโหวต ให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของแมทซ์นี้ สรุปรวมทั้งฤดูกาล รามอสสามารถทำประตูได้ทั้งหมด 7 ประตู ซึ่งเป็นจำนวนประตูสูงที่สุดของรามอส ในสโมสรเรอัล มาดริด

รามอส 14

ฤดูกาล 2014-15 รามอสเริ่มแข่งครั้งแรก วันที่ 12 สิงหาคม 2014 โดยเล่นครบ 90 นาที ในการแข่งขันชนะ เซบีญ่า 2-0 ทำให้ได้รับถ้วยแรกของฤดูกาล โดยเป็นถ้วย ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และได้ทำการเล่น ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา กับแอตเลเตโก้ มาดริด ซึ่งผลสกอร์รวม แพ้ 2-1 รามอสสามารถทำประตูแรกของฤดูกาลในวันที่ 31 สิงหาคม ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่สองของการแข่งขัน ในแมทซ์ที่บุกไปพบกับ เรอัล โซเซียดาด แพ้ 4-2 ในเกมที่พบกับ แอทเลติกบิลบาโอ รามอสสามารถทำประตู ลูกที่ 50 ในตลอดการค้าแข้งกับเรอัล มาดริด และมีสกอร์ ชนะ 5-1 ในช่วงการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ และชนะเลิศของ ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ รามอสสามารถทำประตูได้ทั้งสองรอบ และได้รับการโหวต ให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของแมทซ์ และโดนโหวตโดยนักเตะในทัวร์นาเม้นต์ ให้ได้รับรางวัล ฟุตบอลทองคำ

รามอส แชมเปี้ยนลีก 3 สมัย

2015-ปัจจุบัน กัปตันทีมและแชมเปี้ยนลีก 3 สมัย รามอสได้ทำการเซ็นต์สัญญาฉบับใหม่ ซึ่งเป็นสัญญาที่จะผูกมัดรามอส และทีมเรอัล มาดริด ไปจนถึงปี 2020 เป็นระยะเวลา 5 ปี และรามอสได้ขึ้นมารับตำแหน่งกัปตันอย่างเต็มตัว หลังจากที่ อิเกร์ กาซิยาส ได้ย้ายไปอยู่ทีมปอร์โต้ ในวันที่ 8 พฤศจิกายน รามอสสามารถทำประตูลูกแรกของเขาได้ในเกมที่บุกไปพบเซบีญ่า ซึ่งเป็นลูกเตะกลางอากาศ เมื่อรามอสตกหลงมาหลังจากยิงเสร็จ รามอสก็มีอาการบาดเจ็บที่หัวใหล่ซ้าย

20 ธันวาคม ค.ศ.2015 รามอสได้พาทีมชนะ ราโย บาเยกาโน มีสกอร์รวม 10-2 ซึ่งเป็นสกอร์ที่สูงที่สุดของทีมเรอัล มาดริด ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 55 ปี ในลาลีกา ต่อมาในวันที่ 13 มีนาคม รามอสได้รับใบแดงใบที่ 20 ในแมทซ์ ที่เรอัล มาดริด บุกไปชนะ ลาส พัลมัส 2-1 ซึ่งเป็นแมทซ์ที่สามารถทำประตูขึ้นนำได้อย่างรวดเร็ว จากลูกโหม่ง ซึ่งเปิดจากมุมโดย อิสโก้ 2 เมษายน 2016 รามอสได้กลับมาจากการพักฟื้นอาการบาดเจ็บ และได้บุกไปชนะทีมบาร์เซโลน่า ที่สนาม กัมนอว์ และเป็นแมทซ์ที่รามอส ได้รับใบแดง ใบที่ 21 และใบแดงใบที่ 4 ของเอลกลาซิโก(นัดการแข่งขันระหว่างเรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า)

เรอัล มาดริด สามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ของยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก 2016 ซึ่งพบกับทีม แอตเลติโก้ มาดริด และรามอสก็สามารถทำประตูได้ และพาทีมขึ้นนำก่อนในครึ่งแรก หลังจากที่ครึ่งหลังเริ่มต้นขึ้นรามอส ก็ได้ยิงจุดโทษ ทำให้สกอร์รวม เรอัล มาดริด ชนะ 5-3 และเป็นครั้งแรกที่รามอส ชูถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ในฐานะของกัปตันทีม และได้รับการยกย่องให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของแมทซ์จากยูฟ่า หลังจากนั้นรามอสได้ลงเล่น ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 2016 สามารถทำประตูตีเสมอให้กับทีม เรอัลมาดริด ในนาที 93 ทำให้ต้องมีการต่อเวลาพิเศษ และสามารถทำให้ทีมพลิกกลับมาชนะ 3-2 และเป็นอีกครั้งที่รามอสได้รับการยกย่องให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของแมทซ์ เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2015-16 รามอสสามารถทำไปได้ 3 ประตู จาก 33 แมทซ์ ซึ่งเป็นจำนวนรวมที่น้อยที่สุด ตลอดการเล่นให้กับทีมเรอัล มาดริด ก่อนที่เขาจะเจอกับอาการบาดเจ็บ

รามอส ทีมชาติ

3 ธันวาคม ค.ศ.2016 รามอสสามารถทำประตูลูกที่ 4 ของเขาในเกม เอลกลาซิโก ซึ่งเป็นประตูที่ทำให้ทีมตีเสมอ บาร์เซโลน่า 1-1 ในนาทีที่ 90 ที่สนามกัมนอว์ ทำให้เรอัล มาดริด ได้รับสถิติไร้พ่าย ติดต่อกัน 33 แมทซ์, หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ รามอส สามารถทำประตูในช่วงท้ายเกมได้อีกครั้ง โดยทำประตูนาทีที่ 92 และทำให้เรอัล มาดริด พลิกกลับมาชนะ ลา คอรุนญ่า 3-2 วันที่ 15 มกราคม 2017 รามอสสามารถทำประตูนาทีที่ 90 ในแมทซ์ที่เจอกับ เซบีญ่า แต่เรอัล มาดริด ก็แพ้เซบีญ่า 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ส่งผลให้เป็นการหยุดสถิติไร้พ่ายของเรอัล มาดริด ไว้ที่ 40 แมทซ์ หนึ่งสัปดาห์ต่อมา รามอส สามารถทำได้ 2 ประตู ในแมทซ์ที่พบกับ มาลาก้า และได้รับการบันทึกสถิติว่าเป็นประตูที่ 50 ในลาลีกาของเขา

11 กุมภาพันธ์ ในแมทซ์ที่เรอัล มาดริดชนะโอซาซุนา 3-1 รามอสได้ลงเล่นครบ 500 แมทซ์ ในนามของสโมสรเรอัล มาดริด และใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก รอบ 16 ทีม รามอสสามารถทำประตูลูกสำคัญ ในแมทซ์ที่พบกับ นาโปลี ทำให้เรอัล มาดริด ชนะไปด้วยสกอร์ 3-1 และมีผลสกอร์รวม 6-2 เข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย

12 มีนาคม รามอสสามารถทำประตูได้จากการที่เรอัล มาดริดเปิดบ้าน เจอกับ เรอัล เบติส ชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 ทำให้ประตูรวมของรามอสเพิ่มขึ้นเป็น 10 ประตู ในฤดูกาลนี้ เป็นการทำลายสถิติสามารถยิงประตูรวมเป็นเลขสองหลักได้ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ย้ายเข้ามาอยู่ในสโมสรเรอัล มาดริด และแมทซ์นี้ก็เป็นแมทซ์ที่ทำให้เรอัล มาดริดกลับมาเป็นจ่าฝูง ของตาราง ลาลีกาอีกครั้ง ในฤดูกาลนั้น เรอัล มาดริด สามารถคว้าแชมป์ลีก ครั้งที่ 33 ทำให้รามอสได้รับแชมป์ลีกทั้งหมด 4 ครั้ง และ 1 ครั้ง ในฐานะกัปตันทีม ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เรอัล มาดริด ได้รับดับเบิลแชมป์ (แชมป์ลีก และ ยูโรเปี้ยน คัพ) ตั้งแต่ฤดูกาล 1957-58 จากผลการเล่นที่เรอัล มาดริด ชนะทีมจูเวนตุส ในการแข่งขัน ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก รอบชิงชนะเลิศ 2017 ส่งผลให้รามอส เป็นกัปตันคนแรกที่สามารถทำให้ทีม คว้าแชมป์ 2 สมัยติดต่อกัน และผลการเล่นในฤดูกาล 2016-17 ของรามอส ซึ่งสามารถทำประตูได้ 10 ประตู ก็เป็นผลการเล่นที่ดีที่สุดของรามอส ตั้งแต่ก้าวเข้ามาเป็นนักเตะ

20 สิงหาคม ค.ศ.2017 ในแมทซ์แรกของเรอัล มาดริด ในฤดูกาล 2017-18 รามอสก็ได้รับใบแดง ใบที่ 23 และเป็นใบแดงใบที่ 18 ในลาลีกา และเป็นการทำลายสถิติใบแดงสูงที่สุด รามอสทำลายสถิตินี้อีกครั้ง หลังจากที่เขาได้รับใบแดงใบที่ 19 ในลาลีกา ซึ่งเป็นแมทซ์ที่ เสมอ 0-0 กับทีม แอทเลติกบิลบาโอ รามอสสามารถทำประตูแรกในฤดูกาล วันที่ 13 กันยายน ในการแข่งขัน แชมเปี้ยนลีก ซึ่งเป็นการเตะลูกจักรยานอากาศ ใส่ทีมอาโปเอลในการแข่งขันวันแรก ในการแข่งขันของลาลีกา รามอสทำประตูได้ 4 ประตู ซึ่งรวมไปถึงการยิงจุดโทษ 2 ประตู จากการเจอกับทีมเลกาเนส และเซบีญ่า ในฤดูกาล 2017-18 ของยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก รามอสสามารถทำประตูไปได้ทั้งหมด 1 ประตู และทำให้เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ครั้งที่ 13 ติดต่อกัน 3 สมัย

อย่างไรก็ตามในแมทซ์สุดท้าย รามอสได้รับการวิจารณ์จากการที่เข้าประทะกับโมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ ซึ่งทำให้ซาล่าห์มีอาการบาดเจ็บที่หัวใหล่ และต้องออกจากแมทซ์ไป และการที่รามอส เข้าประทะกับนายประตูของทีมลิเวอร์พูล ด้วยการฟันศอกใส่บริเวณหัว ของโลริส คาริอุส ซึ่งภายหลังได้รับการวินิจฉัย ว่ามีการกระทบกระเทือน แต่รามอสก็ได้ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายโลริส คาริอุส และบอกว่า เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ผลักเขาไปชนกับคาริอุส รามอสเป็นกัปตันทีมคนแรก ที่สามารถพาทีมได้รับรางวัลแชมป์ 3 สมัย ในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก

รามอสเริ่มต้นฤดูกาล 2018-19 ด้วยการยิงจุดโทษ ในแมทซ์ที่แพ้ แอตเลติโก้ มาดริด 2-4 ในการแข่งขันยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 2018 จากการยิงจุดโทษ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเรอัล มาดริด ได้มอบตำแหน่งคนที่จะยิงจุดโทษ ให้กับรามอส ซึ่งเป็นผลมาจากการที่คริสเตียโน โรนัลโด้ ย้ายออกจากทีมไป ในวันที่ 26 สิงหาคม 2018 รามอสสามารถทำประตูจากการยิงจุดโทษอีกครั้ง ซึ่งเป็นแมทซ์ที่เรอัล มาดริด บุกไปชนะ คิโรน่า 4-1 ซึ่งทำให้รามอสเป็นนักเตะคนเดียว รวมไปถึงลีโอเนล เมสซี่ ที่สามารถทำประตูได้ทุกฤดูกาล ใน 15 ฤดูกาลของลาลีกา หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ รามอสยิงจุดโทษลูกที่ 3 ของฤดูกาล ในแมทซ์ที่ชนะเลกาเนซ 4-1 โดยลงเล่นที่สนามเบอร์นาบิว

20 ตุลาคม ค.ศ.2018 รามอสลงเล่นแมทซ์ที่ 400 ในนามของสโมสรเรอัล มาดริด ในการเปิดบ้านแพ้ เลบันเต้ 1-2 และกลายเป็นนักเตะเรอัล มาดริด คนที่ 10 ที่สามารถลงเล่นให้กับสโมสรจนถึงแมทซ์ที่ 400 หลังจากการปลดยูเลน โลโปเตกี รามอสสามารถทำประตูแรก จากการยิงลูกโทษแบบปาเนนก้า(ยิงจุดโทษในสไตล์ของปาเนนก้า หรือลูกชิป) ในแมทซ์ที่เจอกับเรอัล บายาโดลิค หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน รามอสสามารถยิงจุดโทษแบบปาเนนก้าอีกครั้ง ในการแข่งที่เจอกับ เซลต้า บีโก้ และเป็นการทำลายสถิติของรามอส ซึ่งสามารถยิงประตู ได้ทั้งหมด 25 ทีม ในลาลีกา ซึ่งการยิงครั้งนี้ เป็นการยิงลูกโทษแบบปาเนนก้า ครั้งที่ 3 ของเขา จากการยิงจุดโทษ 4 ครั้งก่อนหน้านี้ จากการยิงจุดโทษแบบปาเนนก้า ของรามอส อันโตนิน ปาเนนก้า (เจ้าของลูกยิงจุดโทษสไตล์ปาเนนก้า) ได้กล่าวว่า รามอส เป็นผู้ที่ “เลียนแบบ” การยิงลูกโทษแบบปาเนนก้า ได้ดีที่สุด และจากการทำประตูใน 3 เดือนแรกของฤดูกาล ทำให้รามอสเป็นนักเตะที่สามารถทำประตูได้ดีที่สุดของสโมสร เรอัล มาดริด ในฤดูกาลนี้

รามอส สเปน

การเล่นให้กับทีมชาติ

ในปี 2004 รามอสเป็นนักเตะที่ถูกเพ่งเล็งทันที ในรุ่นอายุต่ำกว่า 21 ปี จากการแข่งขันทีมชาติ 6 แมทซ์ 26 มีนาคม 2005 ในการแข่งขันกระชับมิตรที่ทีมชาติสเปน ชนะ จีน 3-0 ที่ซาลามังกา ซึ่งรามอสเป็นนักเตะที่มีอายุเพียง 18 ปี 361 วัน เป็นนักเตะที่มีอายุน้อยที่สุด ที่ทำการลงเล่นให้กับทีมชาติสเปน ในรอบ 55 ปี และได้รับการบันทึกสถิตินี้จนถึงวันที่ 1 มีนาคม 2006 และถูกทำลายสถิติโดย เชส ฟาเบรกาส ในแมทซ์กระชับมิตรที่เจอกับ โกตติวัวร์ (ไอเวอรี่โคสต์)

12 ตุลาคม ค.ศ.2005 รามอสทำได้ 2 ประตูในนามทีมชาติ จากแมทซ์ ที่บุกไปชนะซาน มารีโน 6-0 ในรอบคัดเลือกของฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 2006 และรามอสก็ได้ถูกเลือกให้ลงเล่นในสนามสุดท้ายที่ต้องลงเล่นในประเทศเยอรมัน หลังจากการเกษียณอายุของ มิเชล ซัลกาโด้ เพื่อนร่วมทีมเรอัล มาดริด ทำให้รามอสเป็นตัวเลือกแรกที่ถูกเลือกให้เป็นแบ็คขวา

ยูโร 2008 จากรอบคัดเลือกของ ยูฟ่า ยูโร 2008 รามอสเป็น 1 ใน 11 นักเตะตัวจริงของทีมชาติ และสามารถขึ้นเป็นแชมป์กลุ่ม เหนือทีมสวีเดนได้ โดยรามอสสามารถทำได้ 2 ประตู จากการลงเล่นทั้งหมด 11 แมทซ์ ในรอบสุดท้ายของการแข่งขัน รามอสได้ลงเต็มเวลา ครบทุกแมทซ์ ยกเว้นการแข่งขันในกลุ่มที่ชนะกรีซ 2-1 ในที่สุดการส่งบอลของรามอส ทำให้มาร์กอส เซนนา ทำประตูลูกแรกในนามของทีมชาติสเปนได้ หลังจากการแข่งขันรอบสุดท้าย ที่สเปน สามารถเอาชนะเยอรมัน 1-0 รามอสก็ได้ทำการสวมเสื้อของเพื่อนสนิทของเขา จากทีมเซบีญ่า ซึ่งเสียชีวิตในเดือนสิงหาคม 2007

ฟีฟ่า คอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2009 และ ฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2010 รามอสได้ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในทีมสำหรับรายการ ฟีฟ่า คอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2009 ที่แอฟริกาใต้ ซึ่งทีมชาติสเปนได้รับอันดับ 3 ของรายการ ในวันที่ 3 มิถุนายน 2010 รามอสได้เป็นกัปตันของทีมชาติสเปนครั้งแรก ในการแข่งขันกระชับมิตร ซึ่งชนะ เกาหลีใต้ 1-0 ที่สนามอินส์บรุค ออสเตรีย

ในการแข่งขันฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2010 ซึ่งจัดภายในประเทศเดียวกัน รามอสได้ทำการลงเล่นครบทุกนาที ในตำแหน่งแบ็คขวา ช่วยทำให้ทีมได้รับ คลีนชีทซ์ ไปทั้งหมด 5 แมทซ์ และสามารถไปถึงรอบชิงชนะเลิศ และสามารถเอาชนะทีมจากประเทศเนเธอร์แลนด์ไปด้วยสกอร์ 1-0 รามอสได้ถูกประเมินศักยภาพ จาคาสตรอล ด้วยคะแนน 9.79

ยูโร 2012 รามอสกลับมาเล่นตำแหน่งตัวรับในการแข่งขันยูโร 2012 ซึ่งเมื่อมีคนถามเกี่ยวกับการเปลี่ยนตำแหน่งการเล่นของ รามอสก็ได้ตอบกลับมาว่า “ผมสามารถปรับตัว และรู้สึกดีที่ได้เล่นในตำแหน่งกองกลาง แต่ผมเป็นนักเตะระดับโลก และแชมป์ยูโรเปี้ยน ในตำแหน่งแบ็คขวา” รามอสลงเล่นทุกแมทซ์ในโปแลนด์ และยูเครน เคียงข้างกับ เคราร์ด ปิเก้ นักเตะจากทีมบาร์เซโลน่า ในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ ที่เจอกับทีมโปรตุเกส ซึ่งมีผลการแข่งขัน 0-0 จากการต่อเวลาพิเศษแล้ว จึงต้องมีการยิงจุดโทษ และสามารถชนะไปได้ด้วยสกอร์ 4-2 ซึ่งรามอสก็ได้เปลี่ยนสไตล์การยิงจุดโทษของตัวเอง โดยยิงแบบปาเนนก้า

ฟีฟ่า คอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013 และ ฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2014 22 มีนาคม 2013 รามอสลงเล่นแมทซ์ที่ 100 ในฐานะกัปตันทีม ในการแข่งที่เสมอ 1-1 กับฟินแลนด์ ที่ชิชอง ในรอบคัดเลือกฟีฟ่า เวิลด์คัพ ซึ่งรามอสเป็นนักเตะที่มีอายุน้อยที่สุด ที่สามารถประสบความสำเร็จในฐานะกัปตันทีม นำหน้าลูคัส โพดอลสกี้, ในเดือนมิถุนายน รามอสได้ทำการลงเล่นรายการ ฟีฟ่า คอนเฟเดอเรชันส์ ที่ประเทศบราซิล สามารถชนะตาฮิติ ที่สนามมารากานัง ไปด้วยสกอร์ 10-0 ในวันที่ 30 มิถุนายน รามอสได้ยิงจุดโทษพลาด ในการแข่งขันที่เจอกับบราซิล และแพ้ไปด้วยสกอร์ 3-0 รามอสได้ถูกเลือกให้ลงเล่นฟุตบอลโลก 2014 ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 ของตัวเขาเอง รามอสได้ทำการลงเล่นครบ 90 นาที ในทุกแมทซ์ แต่ทีมสเปน ก็ได้ตกรอบ จากรอบคัดเลือก

ยูโร 2018 และฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2018 จากการเลือก ดาบิด เด เกอา แทนที่ อิเกร์ กาซิยาส ในการวางผู้เล่นตัวหลักของทีม และรามอสก็ได้ถูกเลือกให้เป็นกัปตันทีม ในวันที่ 21 มิถุนายน 2016 รามอสได้ทำการยิงจุดโทษ แต่ถูกเซฟโดย ดานิเยล ซูบาซิช ทำให้ในแมทซ์นั้น พ่ายแพ้ต่อโครเอเชีย ด้วยสกอร์ 2-1 และ 23 มีนาคม 2018 หนึ่งวันก่อนที่จะถึงวันเกิดปีที่ 32 ของรามอส เขาได้ลงเล่นครบ 150 แมทซ์ในฐานะกัปตัน ในการแข่งขันนัดกระชับมิตรที่มีผลการแข่งขัน เสมอ 1-1 กับทีมเยอร์มัน ที่สนามดึสเซิลดอร์ฟ ก่อนหน้านี้มีเพียงอิเกร์ กาซิยาส ที่สามารถทำสถิติได้ถึงขนาดนี้ รามอสได้ถูกคัดเลือกให้เป็นผู้เล่นตัวหลัก ในการแข่งขันฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2018 และได้ลงเล่นครบทั้ง 4 แมทซ์ของทีมชาติ และได้เข้ารอบไปถึง 16 ทีมสุดท้าย และได้พ่ายแพ้ และตกรอบ ในการแข่งที่เจอกับรัสเซีย

ยูฟ่า เนชั่น ลีก 2018-19 จากการที่ได้โค้ชใหม่ หลุยส์ เอ็นริเก้ รามอสก็ได้ดำรงตำแหน่งกัปตันทีมอีกครั้ง รามอสได้ลงครบทั้ง 4 แมทซ์ในยูฟ่า เนชั่น ลีก และกลายเป็นนักเตะของทีมชาติที่ยิงประตูมากที่สุดในกลุ่มคัดเลือก โดยรามอสสามารถทำประตูไปได้ทั้งหมด 3 ประตู โดย 1 ประตูมาจากการแข่งอังกฤษ และ 2 ประตู มาจากการแข่งกับโครเอเชีย ทีมชาติสเปนได้เป็นรองแชมป์ของกลุ่ม ทำให้พลาดโอกาสในการเข้าแข่งรอบชิงชนะเลิศ

รามอส สไตล์การเล่น

สไตล์การเล่น

รามอสเป็นนักเตะที่มีรายการสมส่วนและแข็งแรง ซึ่งเป็นนักเตะที่มีความชำนาญในการเล่นลูกกลางอากาศมาจากทักษะในการยกตัว และความแม่นของลูกโหม่ง ทำให้รามอสสามารถทำประตู จากลูกโหม่งที่เปิดจากมุมได้บ่อย นอกจากนี้รามอสมีทักษะการเข้าประทะที่มีความกดดัน และมีความรุนแรง รามอสมีพรสวรรค์ในเรื่องของการเลี้ยงบอล มีเทคนิคการเล่น มีทักษะในการเปิดบอล อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์ กีฬา มาร์ก้า ทางฟีฟ่าได้ยืนยันว่ารามอสสามารถเร่งความเร็วในการวิ่ง ได้ถึง 30.6 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ซึ่งทำให้รามอสเป็นหนึ่งในนักเตะ ที่มีฝีเท้าเร็วที่สุดในโลก

จากสภาวะของการเป็นผู้นำ ความแข็งแรง และมีเทคนิค มีทักษะทั้งในการเล่นเกมรับ และเล่นเกมบุก และยังเป็นนักเตะที่สามารถเล่นได้ทั้งตำแหน่งกองหลังตัวกลาง และแบ็คขวา อดีตผู้จัดการ อย่างคาร์โล อันเซล็อตติ ได้ทำการเปรียบเทียบรามอส ว่าสามารถเล่นเกมรับได้เหมือนกับ นักเตะในตำนานอย่าง เปาโล มัลดินี่ จากทักษะในการเข้าประทะ รามอสก็ยังสามารถเล่นตำแหน่งกองกลาง หรือกองกลางตัวรับ โดยเฉพาะภายใต้การดูแลของคาร์โล อันเซล็อตติ ในฤดูกาล 2014-15 รามอสได้ถูกยกย่อง ว่ามีความเด็ดขาดในการเล่นเกมรับ โดยเฉพาะในแมทซ์สำคัญต่างๆ รามอสจึงเป็นนักเตะที่มีความสำคัญต่อเรอัล มาดริดเป็นอย่างมาก และยังสามารถทำประตูให้กับทีมได้อีกด้วย และได้รับการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญหลายคน ว่ารามอส มีการเล่นและความน่าเชื่อถือที่คงที่ แม้แต่ในการแข่งขันที่มีความกดดันสูง แต่อย่างไรก็ตามรามอสก็ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการขาดสมาธิในการลงเล่นในแต่ละแมทซ์ รามอสจะได้รับการวิจารณ์เรื่องการเล่นที่มีความรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง

บันทึกวินัยในการเล่นของรามอส

รามอสมีการบันทึกวินัยในการเล่นอยู่หลายครั้ง ในแชมเปี้ยนลีก ลาลีกา รวมไปถึงในทีมชาติสเปน รามอสได้รับการบันทึกว่าเป็นนักเตะที่ได้รับใบเตือนมากที่สุดในลาลีกา โดยได้รับทั้งหมด 173 ใบ ซึ่ง 19 ใบเป็นใบแดง ทำให้รามอสเป็นนักเตะ ที่ถูกไล่ออกจากสนามมากที่สุดในลาลีกา อย่างไรก็ตามใบเหลืองของรามอส ขาดอีกแค่ 1 ใบ ก็จะเท่ากับ อัลเบอร์โต โลโป จากการบันทึกครั้งนี้ ทำให้พบว่าบันทึกว่ารามอสได้รับใบเตือนมากกว่านักเตะคนอื่น ทำให้รามอสเป็นนักเตะที่ได้รับใบเตือนมากที่สุด ในเมเจอร์ยูโรเปี้ยนลีก ในแชมเปี้ยนลีก รามอสได้รับใบเหลือง 37 ใบ และใบแดง 3 ใบ (2 ใบ มาจากการได้รับใบแดงทันที) ทำให้รามอสกลายเป็นนักเตะที่ได้รับใบเตือนมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ของแชมเปี้ยนลีก ในชุดของทีมชาติสเปน รามอสก็ได้รับการบันทึกว่าเป็นนักเตะที่ได้รับใบเตือนมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ของทีมชาติ เช่นกัน

รามอส ครอบครัว

ชีวิตส่วนตัว

รามอสได้คบกับ พิลาร์ รูบิโอ ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ.2012 ได้รับการยืนยันจากทั้งคู่ ในงาน ฟีฟ่า บัลลงดอร์ ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน: เซอร์คิโอ(เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2014) มาร์โก้(เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2015) และ อเลฮานโดร(เกิดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2018) และในวันที่ 16 กรกฏาคม 2018 รามอสก็ได้ขอแฟนสาวของเขา พิลาร์ รูบิโอ แต่งงาน รามอสเป็นหนึ่งในแฟนตัวยงของ การสู้กับวัวกระทิง ซึ่งเป็นที่นิยมมากในบ้านเกิดของเขา และรามอสก็เป็นเพื่อนกับมาทาร์ดอ อเลฮานโด้ ทาลาวันเต้ ซึ่งรามอสจะฉลองชัยชนะของเขา ทั้งในลีก และทีมชาติด้วยการเล่นกับ ผ้ามาทาร์ดอ นอกจากนี้รามอสยังเป็นแฟนม้าตัวยง เขามีฟาร์มเป็นของตัวเอง ในบ้านเกิด ที่ อันดาลูซิอา ซึ่งเป็นฟาร์มที่ทำการผสมพันธ์ม้าอันดาลูเซียน โดยม้าของรามอส ที่มีชื่อว่า “Yecutan SR4” ได้รับแชมป์โลก ในปี 2018 รามอสนับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก และมีรอยสักของ แมรี่ (มารดาของพระเยซู ) บริเวณต้นแขนซ้าย