เปิดใจ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส นายใหญ่แห่งทัพ สุนัขจิ้งจอก

เปิดใจ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส นายใหญ่แห่งทัพ สุนัขจิ้งจอก

“โฟร์โฟร์ทู” สื่อกีฬาลูกหนังชั้นนำมีโอกาสเข้าไปที่สนามคิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม ของ เลสเตอร์ ซิตี้ สโมสรดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และได้พูดคุยกับ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีม “สุนัขจิ้งจอก” ถึงเรื่องราวต่างๆภายในสโมสร

ร็อดเจอร์ส กำลังวุ่นวายอยู่กับการนำลูกทีมฝึกซ้อม แต่จากอากาศที่หนาวจัดเขาก็เลยพาทีมงานเข้าไปในห้องแต่งตัวอันอบอุ่นเพื่อพูดคุยกัน โดยโค้ชชาวไอร์แลนด์เหนือเข้ามาคุมทีม “เดอะ ฟ็อกส์” เป็นเวลา 1 ปีแล้ว และดูเหมือนเขาจะปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว

ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา เลสเตอร์ ถือเป็นหนึ่งทีมที่มีโอกาสคว้าตั๋วไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และหากย้อนกลับไปในปี 2015/16 “สุนัขจิ้งจอก” เคยทำสถิติที่สุดยอดด้วยการเอาชนะคู่แข่งมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกด้วยการถล่ม เซาแธมป์ตัน 9-0

ก่อนที่เราจะเริ่มต้น ร็อดเจอร์ส ได้พูดถึงทางเดินไปห้องแต่งตัวใหม่ของ เลสเตอร์ การติดตั้งไฟทรงกลมบนเพดานที่มีคำว่า ‘เคารพ’, ‘ความกล้าหาญ’, ‘ความสามัคคี’ และ ‘ความรับผิดชอบ’ ที่ล้อมรอบชื่อย่อ ‘VS’ ของ วิชัย ศรีวัฒนประภา อดีตเจ้าของสโมสร “สุนัขจิ้งจอก” ที่เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินตก

กุนซือชาวไอริช เริ่มกล่าวว่า “เราเริ่มต้นด้วยความเคารพที่สโมสรแห่งนี้” หลังจากนั้น เขาชี้ไปที่ข้อความที่เกี่ยวข้องซึ่งสะท้อนอยู่บนพื้นในทางทฤษฎีส่วนที่เหลือจะเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติที่เขาวางไว้ให้กับลูกทีม

ร็อดเจอร์ส ตัดสินใจอำลา “ม้าลายเขียวขาว” กลาสโกว์ เซลติก สโมสรดังในสก็อตติชพรีเมียร์ลีก มาคุมทีม เลสเตอร์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 แทนที่ของ โคล้ด ปูแอล เทรนเนอร์ชาวฝรั่งเศส ที่โดนไล่ออกหลังจากทำผลงานได้อย่างย่ำแย่

อดีตนายใหญ่ เซลติก เล่าต่อว่า “ผมต้องการสานต่อสิ่งที่ดีของ โคล้ด ปูแอล ที่ทำเอาไว้ เพราะเขาได้แนะนำสิ่งดีๆมากมายที่นี่ และโดยเฉพาะการมีผู้เล่นอายุน้อยฝีเท้าดีหลายคน ก่อนหน้าที่ผมมาถึงที่นี่มีความโศกเศร้ามากมายเพราะการตายของคุณ วิชัย แต่ผมรู้ถึงความคาดหวัง และความทะเยอทะยานของสโมสร และจุดหมายปลายทางที่พวกเขาต้องการจะไป”

“สิ่งที่ผมพบคือกลุ่มผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมมากที่กระตือรือร้นในการทำงานตามที่ผมต้องการ เป้าหมายของผมคือนำ เลสเตอร์ กลับไปเล่นในฟุตบอลยุโรปอีกครั้ง ผมรู้อยู่เสมอว่ามันเป็นงานยาก เพราะพรีเมียร์ลีกมีทีมที่แข็งแกร่งมากมาย แต่เราจะหาวิธีท้าทายพวกเขาได้ไหม”

จนถึงตอนนี้คำตอบคือ ใช่ แน่นอน เลสเตอร์ กำลังทำผลงานติดลมบนด้วยการรั้งอันดับ 3 ในตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกจากสถิติใน บ้านผลบอล และนักเตะตัวหลักของพวกเขาหลายคนอายุเฉลี่ยเพียง 23 ปีเท่านั้น ซึ่งยังสามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้อีก

อย่างไรก็ตาม นักเตะอายุน้อยที่น่าตื่นเต้นของ เลสเตอร์ กลับเล่นฟุตบอลได้อย่างน่าผิดหวังในยุคของ ปูแอล จนกระทั่ง ร็อดเจอร์ส เข้ามาสู่ทีมนั้น เขาได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างทั้งแนวทางการฝึกซ้อม และแนวทางการเล่นที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

นักเตะที่ ปูแอล เซ็นสัญญาเข้ามาอย่าง ริคาร์โด้ เปเรยร่า แบ็คขวาชาวโปรตุเกส, จอห์นนี่ อีแวนส์ ปราการหลังไอริช, คักลาร์ โซยุนคู เซ็นเตอร์ฮาล์ฟชาวตุรกี และ เจมส์ เมดดิสัน จอมทัพดาวรุ่งชาวอังกฤษ ต่างโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในยุคของ ร็อดเจอร์ส

ขณะเดียวกันบรรดานักเตะดาวรุ่งชาวอังกฤษอย่าง ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์, เบ็น ชิเวลล์ ฮัมซ่า ชูดูรี่ ต่างก็แจ้งเกิดกับทีมชุดใหญ่ของ เลสเตอร์ ได้อย่างเต็มตัวในฤดูกาลนี้ รวมทั้ง ยูริ ตีเลอม็องส์ กองกลางทีมชาติเบลเยียม ที่คว้าตัวมาจาก โมนาโก ก็กลายเป็นกำลังสำคัญในแดนกลางไปเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม ตัว ร็อดเจอร์ส เองนั้น ก็เจอความโกรธแค้นจากแฟนบอลของ เซลติก หลังจากที่เขาอำลาทัพ “ม้าลายเขียวขาว” มาคุมทีม เลสเตอร์ กลางฤดูกาล ซึ่งเจ้าตัวเองก็รับรู้ถึงความไม่พอใจของแฟนบอลเป็นอย่างดี

อดีตโค้ช เซลติก กล่าว่า “มันเป็นตัวเลือกที่ยากมาก เพราะผมใช้ชีวิตตามความฝันของตัวเองที่ เซลติก แต่ผมแค่รู้สึกว่ามีโอกาสที่ เลสเตอร์ มันอาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสำหรับคนอื่นๆ และมีคำอธิบายมากมายเกี่ยวกับผมที่จะจากไป แต่ในฐานะผู้จัดการทีมคุณต้องมีความคิดเด็ดเดี่ยว สำหรับผมแล้ว การมีความเด็ดเดี่ยวจะทำให้คุณได้ประโยชน์จากช่วงเวลาพิเศษกับคนกลุ่มใหม่ๆ”

“ผมเคยคว้าแชมป์มากมายที่ เซลติก และในเวลานั้นเราเป็นจ่าฝูงมีแต้มนำทีมอันดับ 2 อยู่ 8 คะแนน มันจึงทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวเองสามารถไปร่วมงานกับ เลสเตอร์ ได้ในช่วงสุดท้ายของฤดูกาล ถ้าพูดถึงความเหมาะสม ผมควรจะย้ายไป เลสเตอร์ ในช่วงซัมเมอร์”

“แต่มันมีข้อเสนอให้ผมว่า ผมต้องตัดสินใจทันที ผมสามารถดูแลผู้เล่นที่อยู่ภายใต้ความกดดันได้ และนั่นจะทำให้ฤดูร้อนชัดเจนสำหรับผมในแง่ของสถานที่ และวิธีการที่เราจะปรับปรุงหรือพัฒนาทีมต่อไป” ร็อดเจอร์ส กล่าว

จากหลักฐานที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าเทรนเนอร์วัย 46 ปี ทำการตัดสินใจที่ถูกต้อง เลสเตอร์ ทำผลงานได้ดีขึ้นในช่วง 10 เกมสุดท้ายของฤดูกาลที่ผ่านมาในช่วงที่ ร็อดเจอร์ส เข้ามากุมบังเหียนและพลพรรค “สุนัขจิ้งจอก” จบซีซั่นด้วยอันดับ 9 ในตารางคะแนน

ความทะเยอทะยานของ เลสเตอร์ นั้น ถูกตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องจบฤดูกาลภายใน 6 อันดับแรก แต่พวกเขาต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่เมื่อต้องสูญเสียแนวรับคนสำคัญอย่าง แฮร์รี่ แม็คไกวร์ กองหลังทีมชาติอังกฤษ ให้กับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาด้วยค่าต่ว 80 ล้านปอนด์

อย่างไรก็ตาม ร็อดเจอร์ส สามารถรับมือกับการเสีย แม็คไกวร์ ได้ โดย เลสเตอร์ มีสถิติการป้องกันดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีกในปีนี้ และก็ได้นักเตะดาวรุ่งอย่าง โซยุนคู ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการแนวรับคนใหม่ร่วมกับ อีแวนส์

ร็อดเจอร์ส อธิบายว่า “โดยพื้นฐานแล้วคุณป้องกันกับผู้เล่นทั้ง 11 คน และสิ่งที่เราพยายามทำคือนำความชัดเจนให้กับวิธีที่เราต้องการเล่น เราต้องการที่จะเป็นทีมที่ก้าวร้าว ดุดัน และเราต้องการที่จะครองบอลทั้งช่วงที่มี และไม่มีบอลอยู่กับตัว หากผู้เล่นคนหนึ่งออกมาจากสนาม และผู้เล่นอีกคนถูกเปลี่ยนตัวเข้ามาพวกเขาทุกคนจะเข้าใจอย่างเป็นระบบว่า เราเล่นอย่างไร”

“เราไม่ได้หาคนมาแทนที่ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ เขาเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม แต่ คักลาร์ โซยุนคู ได้เข้ามาสู่ทีม และกลายเป็นฮีโร่ของทุกคน มันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมสำหรับเขา เพราะเมื่อผมมาที่นี่เขาเป็นตัวเลือกที่ 4 ในแนวรับ และไม่ได้แม้แต่อยู่ในม้านั่งสำรองด้วยซ้ำ แต่มันเป็นข้อพิสูจน์ถึงความตั้งใจของเขา เราเชื่อในความสามารถของเขา และต้องจัดการสิ่งนั้น ดังนั้น เมื่อโอกาสของเขามาถึง เขาก็พร้อมที่จะคว้ามันเอาไว้”

ฟอร์มการเล่นของ เลสเตอร์ นั้น น่ากลัวอย่างยิ่งภายใต้การนำทีมของ ร็อดเจอร์ส โดยอดีตเทรนเนอร์ เซลติก พาพลพรรค “เดอะ ฟ็อกส์” เก็บชัยชนะที่สวยงามได้หลายเกม อาทิ ชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 5-0 เอาชนะ เซาแธมป์ตัน 9-0 และชนะ อาร์เซน่อล 2-0

ร็อดเจอร์ส กล่าวเสริมว่า “ในแต่ละเกมเงื่อนไขนั้นแตกต่างกันออกไป แต่การได้ผลการแข่งขันแบบนั้นผมพอใจมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแนวคิดของลูกทีม ในช่วงพักครึ่งเวลา ผมมักจะบอกว่า เรายังมีงานต้องทำอีก และต้องชนะให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมไม่ได้ดูหมิ่นใครเลย แต่ถ้าคุณต้องการเป็นทีมระดับท็อป คุณก็ต้องทำแบบนั้น”

“คุณจะเห็นเกมเริ่มที่ 0-0 แต่ความกระหายของนักเตะจะทำให้คุณยิงประตูได้ และสิ่งที่น่าสนใจคือเราเคยทำประตูที่ 7 ในนาทีที่ 58 และไม่ได้ประตูที่ 8 ของเราจนกระทั่งถึงนาทีที่ 85 ดังนั้น มันจึงมีระยะเวลา 30 นาทีโดยไม่มีประตู ดังนั้น เราจะต้องมีสมาธิอยู่เสมอ”

ขณะเดียวกัน ร็อดเจอร์ส ยืนยันว่าเขาไม่ใช่คนเดียวกันกับคนที่เคยคุมทีม ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2012-2015 อีกแล้ว หลังจากทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังกับ “หงส์แดง” และพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปอย่างน่าเสียดาย

งานในชีวิตของ ร็อดเจอร์ส เริ่มจากล่างขึ้นบน โดยอาชีพนักฟุตบอลของเขาจบลงด้วยวัยเพียง 20 ปี จากปัญหาอาการบาดเจ็บ จากนั้น เขาก็เคยเป็นสตาฟฟ์โค้ชที่ เชลซี ก่อนจะไปเป็นกุนซือให้กับ วัตฟอร์ด, เรดดิ้ง, สวอนซี ซิตี้ และไปรับงานใหญที่ ลิเวอร์พูล และมันก็จบลงด้วยความล้มเหลว

ประสบการณ์ของ ร็อดเจอร์ส เป็นบวก แต่ในความเป็นจริงความคาดหวังที่จะกลับไปที่ระดับนั้นจะต้องเดินทางไปตามถนนที่ยาวขึ้น บางทีเพื่อสิ่งที่ดีกว่าอย่างเช่นที่ เซลติก ซึ่งเขากลับมาประสบความสำเร็จกับอาชีพผู้จัดการทีมอีกครั้ง

อดีตกุนซือ ลิเวอร์พูล กล่าวว่า “ตอนนี้ผมค่อนข้างแตกต่างจากช่วงที่ผ่านมาในแง่ของประสบการณ์ ผมคิดว่าที่ เซลติก ผมเป็นผู้ชนะ ผมเรียนรู้ว่า ความรู้สึกนั้นมันแตกต่าง และมันทำให้ผมมีความกระหายเพื่อความสำเร็จมากขึ้น”

“คุณจะรู้ว่า คุณต้องชนะทุกเกม แต่เมื่อคุณไม่ได้ทำงานกับสโมสรที่ใหญ่ที่สุด บางครั้งคุณก็เสมอได้ และนั่นก็ยังเป็นผลงานที่ดี แต่ที่ เซลติก มันไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย ดังนั้น ความรู้สึกและแรงกดดันต่างๆจะถาโถมเข้ามา แต่เมื่อคุณได้รับถ้วยรางวัลแรก มันจะให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมากกว่าเดิม ผมหวังว่า เลสเตอร์ จะได้ประโยชน์จากสิ่งนั้น”

“ผมมาถึง ลิเวอร์พูล ตอนอายุ 39 ปี ผมไม่ได้คุมทีมมากนักก่อนหน้านั้น แต่ผมเคยเป็นทีมงานสตาฟฟ์โค้ช และทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาเยาวชนมาเป็นเวลานานแล้ว มันจึงเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งคุณต้องเจออยู่เสมอในการทำงาน ที่ วัตฟอร์ด ผมไปคุมทีมที่กำลังอยู่ในอันดับสุดท้าย ส่วน สวอนซี ก็ต้องการเป็นทีมแรกที่ประเทศเวลส์ที่ได้ไปเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก”

ร็อดเจอร์ส ไม่สามารถหากองหน้าที่ไล่กดดันแนวรับคู่แข่งได้

“ที่ เร้ดดิ้ง ผมไม่ประสบความสำเร็จ และนั่นก็เป็นความล้มเหลวสำหรับผม ลิเวอร์พูล ก็เพิ่งซีซั่นด้วยอันดับ 8 ดังนั้น ภารกิจก็คือ พาพวกเขากลับสู่ฟุตบอลยุโรปด้วยลดงบประมาณลง ที่ เซลติก ผมคว้าแชมป์ด้วยวิธีที่ดีกว่าเดิม และยังคงอยู่กับสโมสรในฝันของผม”

“ลิเวอร์พูล เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง หลังจากนั้น ผมรู้สึกว่าผมได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม คุณไม่เคยมีความสุขเมื่อคุณตกงาน และไม่มีใครอยากเป็นแบบนั้น แต่ผมรู้สึกเสมอว่า ความล้มเหลวคือความสำเร็จ มันเป็นเหรียญเดียวกันที่มี 2 ด้าน ผมได้รับประโยชน์มากมายจากมัน ผมมีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สโมสรมันน่าตื่นตาตื่นใจ แต่มันถึงเวลาที่จะไปต่อ” เทรนเนอร์ไอริช กล่าว

ย้อนกลับไปที่ แอนฟิลด์ หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าทีมชาติอุรุกวัย ถูกขายให้กับ บาร์เซโลน่า ในซัมเมอร์ปี 2014 และ ลิเวอร์พูล ก็ดึงตัว มาริโอ บาโลเตลลี่ ดาวยิงเจ้าปัญหาชาวอิตาเลียน เข้ามาทดแทน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

ร็อดเจอร์ส ไม่สามารถหากองหน้าที่ไล่กดดันแนวรับคู่แข่งได้เหมือนกับที่ ซัวเรซ เคยทำ หลังจากนั้น ผลงานของ ลิเวอร์พูล เริ่มย่ำแย่ และในที่สุดเขาก็โดนไล่ออกในปี 2015 โดยที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน เข้ามาทำหน้าที่แทน

อย่างไรก็ตาม เวลานี้ ร็อดเจอร์ส มีนักเตะอย่าง ซัวเรซ อยุ่ในทีม เลสเตอร์ แล้ว นั่นก็คือ เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้าจอมเก๋าชาวอังกฤษ โดยดาวยิงวัย 33 ปี โชว์ฟอร์มสุดยอด และซัดประตูไปมากมายตั้งแต่ อดีตนายใหญ่ ลิเวอร์พูล เข้ามากุมบังเหียน

ร็อดเจอร์ส อธิบายต่อว่า “มันเป็นรูปแบบของฟุตบอลที่หวังว่า จะนำเอาสิ่งที่ดีที่สุดของ เจมี่ ออกมาได้ เขาเป็นผู้เล่นที่ก้าวร้าวทั้งในจังหวะที่มีบอลและไม่มีบอล แต่มันเป็นความพยายามร่วมกัน ผมรู้สึกเสมอว่าเขาเป็นกองหน้าระดับท็อป และเขาฉลาดมาก”

“คุณไม่เคยเห็นเขาล้ำหน้า ทำไม? เพราะจังหวะ และเวลาของเขาสมบูรณ์แบบ สมองของเขามักจะคิดค้นหาพื้นที่ เราได้พยายามช่วยรวบรวมเกมของเขาไว้ที่จุดศูนย์กลาง การเชื่อมโยงการเล่น การสร้างพื้นที่สำหรับตัวเองและผู้อื่น ผมมีความสุขที่เขาอยู่ที่นี่เมื่อตอนที่ผมย้ายมา และผมหวังว่าเขาจะทำประตูได้อีกมากมาย”

สิ่งที่ ร็อดเจอร์ส ทำที่ เลสเตอร์ จนถึงตอนนี้ มันยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน และเมื่อได้พูดคุยกับผู้คนรอบๆสโมสรนั้น พวกเขาจะบอกคุณถึงผู้จัดการทีมที่เป็นที่ชื่นชอบอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ใช่แค่กับผู้เล่นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงทีมงานทุกคนด้วย

ทีมงานคนหนึ่งของ เลสเตอร์ กล่าว่า “เขาเป็นคนพิถีพิถัน และเฉพาะเจาะจง แต่เขาเป็นมิตรกับทุกคน การสนทนาแบบตัวต่อตัวเป็นส่วนสำคัญของการจัดการทีมของเขา ซึ่งอาจไม่แปลกใจสำหรับคนที่ศึกษาการเขียนโปรแกรมภาษาศาสตร์ในช่วงที่เขาทำงานกับ เชลซี”

ร็อดเจอร์ส กล่าวว่า “ผมให้ความสำคัญเป็นอย่างมากเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของสโมสร ผมต้องการให้ลูกทีม และทีมงานทุกคนรู้สึกมีพลัง หากคุณสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับผู้คนร้อยละ 99.9 ได้ มันก็จะประสบความสำเร็จ เราต้องการที่จะนำความคิด และการพัฒนากระบวนการต่างๆ และเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสโมสรแห่งนี้”

“เรามีการพูดคุยที่ยอดเยี่ยมกับผู้เล่นหลายคน ผู้คนไม่ให้เครดิตพวกเขามากพอสำหรับความฉลาดและความฉลาดทางอารมณ์ ผมถามพวกเขาว่าในเวลา 30 ปี คุณต้องการให้คนพูดเกี่ยวกับทีม เลสเตอร์ ทีมนี้ว่าอย่างไร”

“มีหลายวิธีในชีวิตที่คุณสามารถช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มสาว เนื่องจากพวกเขามีข้อผิดพลาดมากมายในอาชีพของพวกเขาเอง นั่นเป็นสิ่งที่ผมทำมาตลอดกับผู้เล่น 8-9 คน ผมพยายามดูแลสวัสดิภาพของผู้เล่นอย่างมืออาชีพและเป็นส่วนตัวอยู่เสมอ” อดีตโค้ช ลิเวอร์พูล กล่าว

อย่างไรก็ตาม บางครั้งคุณนักเตะบางคนอาจไม่ชอบการมานั่งพูดคุยนัก แต่โค้ชก็ต้องอธิบายเรื่องราวต่างๆให้พวกเขาเข้าใจ เช่นเดียวกับที่ ร็อดเจอร์ส ทำกับ เดมาไร เกรย์ ปีกดาวรุ่งของ เลสเตอร์ ที่ถูกดร็อปออกจากทีมไปหลายเกม

ร็อดเจอร์ส กล่าวว่า “ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือ ความเคารพต่อกัน และกับผู้เล่นคุณต้องซื่อสัตย์ และเปิดกว้างกับพวกเขา ผมเชื่อว่าคุณสามารถแนะนำพวกเขาได้ มันเป็นวิธีที่คุณพูด คุณยังอยู่ที่นั่นเพื่อสนับสนุนพวกเขา เพราะไม่เช่นนั้นอาชีพของพวกเขาจะหลุดลอยไป”

“เดมาไร เกรย์ อาจไม่เคยหลุดออกจากทีมในชีวิตของเขานับตั้งแต่อายุ 17 เขากำลังล่องลอยอยู่กับพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่นี้ แต่เขาทำได้ดีกว่านี้ เรานั่งลง และสนทนาอย่างซื่อสัตย์ มันยากสำหรับเขา แต่เขาก็ทำได้ดีแล้วการฝึกฝนของเขาก็ยอดเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อ”

“ผมพูดกับเอเย่นต์ของเขาด้วย แม้ว่าเขาอาจจะพบว่ามันยากที่จะได้ยินผมพูดว่าผมชอบผู้เล่นคนนี้มาก แต่เขาจะไม่ได้เล่น ผมหวังว่า เดมาไร จะเริ่มเห็นประโยชน์ เขากำลังกลับมาสู่ทีม และมีผลกระทบที่แท้จริง”

นับตั้งแต่ได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับ ร็อดเจอร์ส แต่กลางเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา เกรย์ ก็กลับมาโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้งด้วยการมีส่วนกับประตูในเกมกับ เบิร์นลี่ย์, คริสตัล พาเลซ, อาร์เซน่อล และ ไบรท์ตัน

กุนซือ เลสเตอร์ กล่าวว่า “ผมคิดว่ามันสำคัญมากที่คุณสามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้เล่นได้ ผมพยายามทำเช่นนั้นเสมอ เพราะผมมีความสนใจในตัวพวกเขา ผมต้องการรู้เกี่ยวกับพวกเขาทั้งหมด ครอบครัวและความรู้สึกของพวกเขา คุณต้องการที่จะผลักดันผู้เล่นของคุณ และพัฒนาพวกเขา ซึ่งการสื่อสารเป็นกุญแจสำคัญ”

การฟัง ร็อดเจอร์ส พูดเป็นที่ชัดเจนว่า คุณค่าดังกล่าวฝังอยู่ในทุกสิ่งที่เขาทำ เขากล่าวถึงกระบวนการวิธีการ วิสัยทัศน์ และการเติบโต แต่โดยพื้นฐานแล้วมีความเรียบง่ายเบื้องหลังความเชื่อของเขา คือทำงานหนักและเป็นคนดี ซึ่งพ่อแม่ของเขาเป็นส่วนสำคัญของเรื่องนี้

พ่อและแม่ของ ร็อดเจอร์ส ทั้งคู่ล่วงลับไป ซึ่งมันเป็นช่วงเวลายากลำบากอย่างเหลือเชื่อสำหรับ โค้ชชาวไอริช เพราะแม่ของเขาเสียชีวิตไปเพียง 2 เดือน หลังจากเขาถูกไล่ออกจาก เร้ดดิ้ง เมื่อปี 2009 และพ่อของเขาเป็นมะเร็งคอ เสียในเสียชีวิตในอีก 18 เดือนต่อมา

ร็อดเจอร์ส กล่าวว่า “ถ้าผมสามารถทำอะไรในโลกนี้ได้ มันคงจะเป็นการพาพวกเขากลับมา พวกเขาเป็นคนทำงานหนัก พวกเขาไม่ได้มีอะไรมากมายในชีวิตของพวกเขา และทุกสิ่งที่พวกเขาทำมีไว้เพื่อลูก พ่อของผมทำงานหนักมาก และแม่ของผมอยู่ที่บ้านเพื่อดูแลพวกเราทุกคน ดังนั้น คุณค่าที่พวกเขามีให้กับพวกเราได้อยู่กับผมทั้งหมดแล้ว”

“ผมไม่เคยพูดถึงมันมาก่อน แต่ผมเห็นพ่อของผมทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอดชีวิตของเขาและเขาก็เป็นคนดีจริงๆ เขาทำงานอย่างซื่อสัตย์ และเมื่อเขาทำเสร็จแล้วเขาจะไม่หยุด และเริ่มมองหาคนที่อาจหางานให้เขาได้รับเงินเพิ่มอีก”

“เขามีครอบครัวที่มีลูกๆ 5 คน เขาหารายได้ และไม่ได้รับการตอบแทนอย่างที่ต้องการเสมอ แต่เขาไม่เคยสั่นคลอน เขายังคงมุ่งมั่นทำงานอย่างหนักเพื่อให้พวกเรา นั่นคือสิ่งที่ผมได้รับเสมอ คุณทำงานและคุณทำงานหนักเพื่อตัวคุณเอง และครอบครัวของคุณ”

“คุณค่าที่พวกเขาให้แก่ผมในฐานะคนๆหนึ่งนั้น ผมต้องใช้มัน ผมถูกไล่ออกจาก เร้ดดิ้ง ในเดือนธันวาคมปี 2009 และแม่ของผมเสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ จากนั้น พ่อของผมก็ป่วยไม่นานและเสียชีวิต แต่เขามีโอกาสเห็นผมได้พา สวอนซี เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ที่สนามเวมบลี่ย์”

“เขาเสียชีวิตในเช้าวันที่เราเล่นกับ อาร์เซน่อล จากจุดนี้ชีวิตของผมได้รับการยกย่องความทรงจำของพวกเขา ผมต่อสู้เพื่อทุกสิ่งที่พวกเขาสอนผมเติบโตขึ้น”

ร็อดเจอร์ส ยังมีงานอีกมากมายที่เขาต้องการทำตามสัญญากับตัวเอง โดยระบุว่า “ผมหวังว่าจะเหลือเวลาอีก 20 ปีในการคุมทีม บางเวลา เลสเตอร์ จะเบื่อหน่ายกับผม ดังนั้น ในบางช่วงของชีวิตผมก็เลยอยากจะท้าทายการทำงานในต่างประเทศ”

“ผมสนใจเรื่องภาษามาก ผมเริ่มเรียนภาษาสเปนเมื่อผมอยู่ที่ เร้ดดิ้ง ผมไปเข้าชั้นเรียน และผู้สอนของผมคือ Julio Delgado ผู้เป็นพ่อของ Jamie Delgado เขาเคยสอนนักเทนนิสชาวอังกฤษอย่าง แอนดี้ เมอร์เรย์ ด้วย”

“ผมยังคงเรียนภาษาสเปนมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อผมไปทำงานที่ เชลซี ซึ่งผมมีโอกาสฝึกซ้อมเล่นกับผู้เล่นที่พูดภาษาสเปนเกือบทุกวัน ผมพยายามพูดคุยกับพวกเขาให้มากที่สุด”

ขณะเดียวกัน เป้าหมายในระยะสั้นคือการพา เลสเตอร์ ไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดย ร็อดเจอร์ส กล่าวว่า “ถ้าเราสามารถทำได้ในช่วงเวลาที่ผมคุมทีมที่นี่มันจะดีมาก ผู้จัดการทีม และผู้เล่นทุกคนปรารถนาที่จะเล่นในรายการใหญ่แบบนั้น”

“มันน่าอัศจรรย์มากถ้าเราทำสำเร็จ แต่นั่นคือความท้าทาย คุณดูการแข่งขันในลีกนี้ และเรายังมีงานอีกมากมายให้ทำ คุณไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าด้วยตนเองได้ แม้เมื่อคุณชนะ 9-0 ก็ตาม” เทรนเนอร์ “สุนัขจิ้งจอก” กล่าวปิดท้าย

พ่อและแม่ของ ร็อดเจอร์ส ทั้งคู่ล่วงลับไป

เนื้อหาใกล้เคียง