เรอัล มาดริด : Real Madrid

ประวัติสโมสร เรอัล มาดริด

สโมสรเรอัล มาดริด คลับ เด ฟุตบอลหรือที่เรารู้จักกันในชื่อเรอัล มาดริด เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพที่มีสนามเหย้าตั้งอยู่ในกรุงมาดริด เมืองหลวงของประเทศสเปน มีฉายาว่า “ราชันชุดขาว” หรืออีกฉายาคือ “โลส บลังโกส”(Los Blancos) สโมสรเรอัล มาดริด ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 1902 ในชื่อ “มาดริด ฟุตบอล คลับ” โดยตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสโมสรมานั้นสโมสรเรอัล มาดริด ใช้เสื้อแข่งขันเกมส์เหย้าเป็นสีขาวมาโดยตลอด ในภาษาสเปนคำว่า real(เรอัล) นั้นมีความหมายเหมือนคำว่า royal ในภาษาอังกฤษซึ่งแปลเป็นไทยได้คือ “เป็นของพระมหากษัตริย์” โดยผู้ที่พระราชทานคำว่า real นี้ให้กับสโมสรก็คือพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 13 ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ของสเปนในยุคนั้นโดยพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 13 นี้ได้พระราชทานคำว่า real นี้พร้อมกับมงกุฏของกษัตริย์ซึ่งอยู่ในสัญลักษณ์ของสโมสร สนามเหย้าของสโมสรคือสนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 1947 โดยสนามแห่งนี้นั้นตั้งอยู่ในเมืองมาดริดสามารถรองรับความจุของผู้ชมได้มากถึง 81,044 คน ในปี 2018 ที่ผ่านมามีการคาดการณ์เรอัล มาดริดจะมีมูลค่าทีมมากถึง 3,470 ล้านยูโร(ประมาณ 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)และก่อนหน้านี้ในฤดูกาล 2016-17 ก็ได้มีการประเมินว่าเรอัล มาดริด คือสโมสรฟุตบอลที่มีกำไรสูงที่สุดเป็นอันดับที่สองของโลกด้วยจำนวนรายรับต่อปีถึงปีละ 674.6 ล้านยูโรซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเรอัล มาดริด เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีแฟนบอลคอยสนุบสนุนอยู่ทั่วโลกเลยทีเดียวนอกจากนี้เรอัล มาดริด ยังเป็นหนึ่งในสามสมาชิกที่ก่อตั้งลาลีก้าที่ไม่เคยตกชั้นจากลีกสูงสุดของประเทศเลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่มีการก่อตั้งลาลีก้าขึ้นมาในปี 1929 ส่วนอีก 2 ทีมที่เหลือก็ได้แก่บาร์เซโลน่ากับแอธเลติก บิลเบา สำหรับคู่ปรับร่วมลีกของเรอัล มาดริดนั้นอย่างที่รู้กันดีว่าหนึ่งในคู่ปรับของทีมราชันชุดขาวที่คอยขับเคี่ยวกันแย่งความเป็นที่หนึ่งในดินแดนกระทิงดุนั่นก็คือบาร์เซโลน่าซึ่งเรามักจะเรียกการโคจรมาพบกันของทั้งสองทีมนี้ว่า “เอล กลาซิโก้” (El Clasico) รวมไปถึงอีกหนึ่งทีมที่เป็นคู่ปรับที่สำคัญเช่นเดียวกันนั่นก็คือแอตเลติโก มาดริด คู่ปรับร่วมเมืองที่เรามักจะเรียกการพบกันของทั้งสองทีมนี้ว่า “ดาร์บี้แมตช์แห่งกรุงมาดริด”(El Derbi) เรอัล มาดริดสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองทั้งในประเทศสเปนและในระดับยุโรปในช่วงทศวรรษ 1950 หนึ่งในนั้นคือการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในปัจจุบัน)ได้ 5 สมัยติดต่อกันจากการเข้ารอบชิงชนะเลิศ 7 ครั้งเช่นเดียวกับในลาลีก้าที่ในทศวรรษนั้นเรอัล มาดริดสามารถกวาดแชมป์ได้ถึง 5 สมัยโดยผู้เล่นคนสำคัญในสมัยนั้นของทีมได้แก่ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ ตำนานกองหน้าของทีมราชันชุดขาวชาวอาร์เจนติน่า,เรย์มงด์ โกปา ตำนานกองกลางตัวรุกชาวฝรั่งเศส,ฟรานซิสโก เกนโต ตำนานปีกซ้ายชาวสเปน และเฟเรนซ์ ปุสกัส ตำนานกองหน้าชาวฮังการี ซึ่งผู้เล่นชุดนี้นั้นถูกขนานนามว่าเป็นผู้เล่นชุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของทีมราชันชุดขาว สำหรับความสำเร็จในประเทศนั้นเรอัล มาดริด กวาดมาถ้วยแชมป์มาได้ถึง 64 ถ้วย ได้แก่ แชมป์ลา ลีกา 33 สมัยมากที่สุดในประเทศสเปน,แชมป์โกปา เดล เรย์ 19 สมัย,แชมป์สแปนิช ซูเปอร์ คัพ 10 สมัย,แชมป์โกปา เอบา ดัวร์เต 1 สมัย และแชมป์โกปา เด ลา ลีกา(คล้ายๆแชมป์ลีก คัพของประเทศอังกฤษแต่รายการนี้จัดขึ้นมาได้เพียงแค่ 4 ปีเท่านั้นก็ต้องยกเลิกไป) 1 สมัย ส่วนในระดับยุโรปรวมถึงระดับโลกนั้นเรอัล มาดริดสามารถคว้าแชมป์มาครองได้ถึง 26 ถ้วย ได้แก่ แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก(รวมสมัยยูโรเปี้ยน คัพด้วย) 13 สมัย,แชมป์ยูฟ่า คัพ 2 สมัย,แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 4 สมัยและแชมป์สโมสรโลกอีก 7 สมัย ในวันที่ 11 ธันวาคมปี 2000 สโมสรเรอัล มาดริดถูกเลือกให้เป็นสโมสรแห่งศตวรรษที่ 20 ของฟีฟ่ารวมไปถึงได้รับเลือกให้เป็นสโมสรที่สร้างประโยชน์ต่อวงการฟุตบอลแห่งศตวรรษของฟีฟ่าเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมปี 2004 นอกจากนี้สหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลระหว่างประเทศ(IFFHS)ยังมอบรางวัลสโมสรยอดเยี่ยมแห่งทวีปยุโรปแห่งศตวรรษที่ 20 ให้กับเรอัล มาดริดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมปี 2010 และเมื่อปี 2017 เรอัล มาดริดก็สร้างประวัติศาสตร์เป็นสโมสรแรกที่สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้ 2 ฤดูกาลติดต่อกันและเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมาก็สร้างสถิติเป็นสโมสรแห่งแรกที่คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้เป็นฤดูกาลที่ 3 ติดต่อกันพร้อมกับขยับขึ้นเป็นสโมสรที่มีคะแนนแร้งกิ้งของยูฟ่าสูงที่สุด

เรอัล มาดริด 1900

สโมสรเรอัล มาดริด มีต้นกำเนิดมาจากการที่นักวิชาการรวมไปถึงนักศึกษาของสถาบันการศึกษาอย่างเสรี(Institucion Libre de Ensenanza)ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์และมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด 2 มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกได้นำกีฬาฟุตบอลมาเผยแพร่ในกรุงมาดริดให้เป็นที่รู้จักกันมากยิ่งขึ้นพร้อมกันนั้นพวกเขาก็ได้รวมตัวกันก่อตั้งสโมสรฟุตบอลขึ้นมาสโมสรหนึ่งในชื่อว่า “สกาย ฟุตบอล” (หรือ ลา โซเซียดัด) ในปี 1897 ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในกรุงมาดริดโดยพวกเขาจะลงเล่นฟุตบอลกันในทุกเช้าของวันอาทิตย์ในเขตมอนโคลกรุงมาดริด อย่างไรก็ตามในปี 1900 ได้เกิดความขัดแย้งของสมาชิกในสโมสรทำให้มีบางกลุ่มที่ขอออกจากสโมสรสกาย ฟุตบอลเพื่อที่จะแยกไปก่อตั้งสโมสรแห่งใหม่โดยใช้ชื่อว่า “นูว์เอบา โซเซียดัด เด ฟุตบอล” (Nueva Sociedad de Football) ซึ่งจูเลี่ยน พาลาซิออสหนึ่งในแกนนำที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสโมสรนูว์เอบา โซเซียดัด เด ฟุตบอลก็ได้เป็นประธานสโมสรคนแรกของสโมสรที่ต่อมาก็ได้ใช้ชื่อว่าเรอัล มาดริด ส่วนฆวน และคาร์ลอส พาโดรส สองพี่น้องที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเหมือนกับจูเลี่ยน พาลาซิออสก็ได้ขึ้นมาเป็นประธานสโมสรแห่งนี้ต่อจากจูเลี่ยน พาลาซิออส ต่อมาหลังจากก่อตั้งสโมสรได้เพียงแค่ปีเดียว ในปี 1901 สโมสรนูว์เอบา โซเซียดัด เด ฟุตบอลก็ได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า “มาดริด ฟุตบอล คลับ” แทนและในวันที่ 6 มีนาคมปี 1902 หลังจากที่ฆวน พาโดรสได้รับเลือกตั้งเป็นประธานสโมสรคนใหม่สโมสรมาดริด ฟุตบอล คลับก็ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังการก่อตั้งสโมสรไปได้สามปีในปี 1905 มาดริด เอฟซีก็สามารถคว้าแชมป์รายการแรกให้กับสโมสรได้ในรายการสแปนิช คัพ(โกปา เดล เรย์ในปัจจุบัน)ด้วยการเอาชนะแอธเลติก บิลเบา 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศหลังจากที่ในปี 1903 ชวดการคว้าแชมป์ไป มาดริด เอฟซีเป็นหนึ่งในสโมสรผู้ร่วมก่อตั้งราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปน (Royal Spanish Football Federation) ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 4 มกราคมปี 1909 หลังจากที่อโดลโฟ เมเลนเดซประธานสโมสรในขณะนั้นได้ทำการลงนามในข้อตกลงพื้นฐานของสมาคมฟุตบอลสเปนซึ่งหลังจากนั้นมาดริด เอฟซีก็ได้ย้ายสนามเหย้าของตัวเองไปยังสนามแคมโป เด โอดอนเนลในปี 1912 และต่อมาในปี 1920 ในที่สุดสโมสรมาดริด ฟุตบอล คลับก็ได้เปลี่ยนชื่อไปเป็นเรอัล มาดริด ที่เรารู้จักกันหลังจากที่พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 13 ได้พระราชทานเครื่องหมาย “เรอัล” (Real) ให้กับสโมสร ในปี 1929 ได้มีการจัดตั้งลีกแข่งขันฟุตบอลขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศสเปนซึ่งเรอัล มาดริดก็ได้ร่วมลงแข่งด้วยโดยเรอัล มาดริด ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงของลีกตั้งแต่นัดแรกจนกระทั่งในนัดสุดท้ายพวกเขาแพ้ให้กับแอธเลติก บิลเบา ทำให้จบฤดูกาลเรอัล มาดริด ทำได้เพียงแค่รองแชมป์ไปโดยในฤดูกาลนั้นทีมที่ได้แชมป์ไปก็คือบาร์เซโลน่ายักษ์ใหญ่แห่งแคว้นคาตาลันอย่างไรก็ตามเรอัล มาดริด ก็แก้ตัวได้ในฤดูกาล 1931-32 พวกเขาคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกของสโมสรพร้อมกับป้องกันแชมป์ได้ในฤดูกาลถัดมาพร้อมกับกลายเป็นทีมแรกของสเปนที่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ติดต่อกัน

อย่างไรก็ตามในวันที่ 14 เมษายนปี 1931 ได้เกิดการจัดตั้งสาธารณรัฐสเปนที่ 2 ซึ่งเป็นเหตุให้สโมสรเสียเครื่องหมายพระราชทานเรอัลไปและกลับไปใช้ชื่อมาดริด ฟุตบอล คลับดังเดิม การแข่งขันฟุตบอลในสเปนนั้นดำเนินต่อไปในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และในวันที่ 13 มิถุนายนปี 1943 มาดริดเอาชนะบาร์เซโลน่าไปอย่างถล่มถลาย 11-1 ซึ่งถือเป็นสถิติการเอาชนะมากที่สุดที่ทั้งสองทีมพบกันและได้มีการเปลี่ยนชื่อการแข่งขันรายการถ้วยภายในประเทศสเปนมาเป็น “โกปา เดล เรย์” เพื่อเป็นเกียรติให้กับนายพลฟรานซิสโก ฟรังโกต่อมาได้เกิดการข่มขู่บรรดาผู้เล่นของทีมบาร์เซโลน่าโดยตำรวจท้องถิ่นซึ่งรวมไปถึงผู้อำนวยการฝ่ายความมั่นคงของประเทศที่ถูกกล่าวหาว่าได้บอกไปยังผู้เล่นของบาร์เซโลน่าว่าที่บางคนยังสามารถค้าแข้งในประเทศนี้ได้ก็เพราะความเอื้อเฟื้อของระบอบการปกครองแบบที่เป็นอยู่ที่ทำให้พวกเขายังสามารถค้าแข้งอยู่ได้ขณะเดียวกันเอนริค พิเนียร์โร่เจ้าของสโมสรบาร์เซโลน่าก็ได้ถูกแฟนบอลของมาดริด ฟุตบอล คลับทำร้ายร่างกายอย่างไรก็ตามข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้กลบไม่ได้รับการตรวจสอบและทางฟีฟ่าและยูฟ่าก็ยังถือว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นยังคงเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด

เรอัล มาดริด 1936

ในปี 1939 สงครามกลางเมืองของสเปนยุติลงทำให้มาดริด ฟุตบอล คลับ สามารถกลับมาใช้เครื่องหมายพระราชทานได้ดังเดิมทำให้ชื่อสโมสรเปลี่ยนเป็นเรอัล มาดริด ต่อมาในปี 1945 ซานติอาโก้ เบร์นาเบว เยเอสเต้ได้กล่าวขึ้นมาเป็นประธานสโมสรคนใหม่ของเรอัล มาดริดซึ่งภายใต้การบริหารของเยเอสเต้ สนามเหย้าของทีมอย่างสนามซานติอาโก้ เบร์นาเบวและซิเอดัด เดปอร์ติบ้าศูนย์ฝึกของทีมก็ได้ถูกปรับปรุงขึ้นมาใหม่หลังจากความเสียหายของสงครามกลางเมืองของสเปนยิ่งไปกว่านั้นในช่วงทศวรรษ 1950 มิเกล มัลโบอดีตผู้เล่นสมัครเล่นของทีมได้ก่อตั้งศูนย์ฝึกเยาวชนของทีมขึ้นมาซึ่งเรารู้จักกันในชื่อ “ลา ฟาบริก้า” และในช่วงต้นปี 1953 เรอัล มาดริดก็ได้ดึงตัวผู้เล่นระดับโลกเข้ามาสู่ทีมนั่นก็คืออัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ ในปี 1955 จากการก่อตั้งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เรอัล มาดริดสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นจ้าวแห่งยุโรปหลังจากที่พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้ถึง 5 สมัยติดต่อกันระหว่างปี 1956 ถึงปี 1960 ซึ่งหนึ่งในนัดชิงชนะเลิศที่น่าจดจำคือเกมส์นัดชิงชนะเลิศปี 1960 ที่สนามแฮมป์เดนพาร์คประเทศสก็อตแลนด์ที่พวกเขาถล่มไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต 7-3 ซึ่งจากการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 5 สมัยติดต่อกันของเรอัล มาดริดทำให้พวกเขาสามารถเก็บถ้วยรางวัลไว้กับสโมสรได้อย่างถาวรพร้อมกันกับสามารถใช้ตราเกียรติยศของยูฟ่าได้ แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกสมัยที่ 6 ของพวกเขาเกิดขึ้นหลังจากนั้น 6 ปีในปี 1966 ที่พวกเขาเอาชนะปาร์ติซาน เบลเกรด 2-1 ในรอบชิงชนะเลิศพร้อมกับสร้างสถิติเป็นสโมสรแรกที่คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกมาครองได้ด้วยผู้เล่นสัญชาติเดียวกันทั้งหมดนอกจากนี้ทีมชุดนี้ยังเป็นทีมชุดรองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกปี 1962 และปี 1964 ทีมชุดนี้ถูกเรียกว่า “เย-เย้” (Ye-Ye) ซึ่งมาจากคำว่า Yeah,yeah,yeah ในภาษาอังกฤษซึ่งเป็นวงคอรัสของวงเดอะ บีเทิลส์ในเพลง “She Loves You” หลังจากที่ผู้เล่นสี่คนในทีมทำท่าโพสล้อเลียนเดอะ บีเทิลส์ลงในมาร์กาสำนักข่าวท้องถิ่นชื่อดังของประเทศสเปน ในทศวรรษ 1970 เรอัล มาดริดคว้าแชมป์ลา ลีกาได้ 5 สมัยและแชมป์โกปา เดล เรย์อีก 3 สมัย ในปี 1971 เรอัล มาดริดได้ลงเล่นในรอบชิงชนะเลิศรายการยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพเป็นครั้งแรกของสโมสรแต่กลับคว้าได้แค่รองแชมป์หลังจากที่แพ้ให้กับเชลซีทีมจากเกาะอังกฤษไป 2-1 และในวันที่ 2 กรกฎาคมปี 1971 ขณะที่โลกกำลังสนุกสนานไปกับมหกรรมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างฟุตบอลโลกที่จัดขึ้นที่ประเทศอาร์เจนติน่าแต่สำหรับบรรดาแฟนๆของเรอัล มาดริดพวกเขาได้สูญเสียประธานสโมสรอย่างซานติอาโก้ เบร์นาเบว เยเอสเต้ไปซึ่งทางฟีฟ่าได้จัดให้ในระหว่างการแข่งขันฟุตบอลโลกนั้นมีการยืนให้เกียรติแก่เยเอสเต้เป็นระยะเวลา 3 วันและในปีต่อมาทางสโมสรจัดการแข่งขันโทรเฟโอ ซานติอาโก้ เบร์นาเบวขึ้นมาเพื่อเป็นเกียรติให้แก่อดีตประธานสโมสร

เรอัล มาดริด 1980

ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เรอัล มาดริดไม่สามารถก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์ได้เลย จนกระทั่งทีมสามารถดันผู้เล่นหน้าใหม่จากอะคาเดมี่ขึ้นมาได้ ชูลิโอ เซซาร์ อิเกลย์เซีย นักข่าวกีฬาของสเปนยกย่องทีมชุดนี้ว่าเป็นชุด “ลา กวินต้า เดล บูอิเตร้” (กลุ่มอีแร้งกระหาย) อันมาจากชื่อเล่นที่สำนักข่าวเรียกเอมิลิโอ บูตราเกนโญผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าหนึ่งในผู้เล่นตัวชูโรงของชุดนี้ซึ่งผู้เล่นที่เป็นตัวชูโรงนอกเหนือจากบูตราเกนโญ ได้แก่ มานูเอล ซานชีส ผู้เล่นตำแหน่งกองหลัง,มาร์ติน บาสเกซ ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวรุก,มิเชล ผู้เล่นตำแหน่งกองกลาง และมิเกล พาร์เดซา ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าซึ่งทั้งห้าคนนี้ก็มาจากทีมชุดเยาวชนของสโมสร ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ด้วยผู้เล่นมากฝีมืออย่างฟรานซิสโก บูโญ่ ผู้เล่นตำแหน่งผู้รักษาประตู,มิเกล ปอร์ลัน ผู้เล่นตำแหน่งแบ็คขวา รวมไปถึงฮูโก้ ซานเชซ ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าชาวเม็กซิโกได้ช่วยให้เรอัล มาดริดกลายเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จทีมหนึ่งในประเทศสเปนและยุโรป พวกเขาคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ 2 สมัย,แชมป์ลา ลีกา 5 สมัยแบบติดต่อกัน,แชมป์โกปา เดล เรย์ 1 สมัย และแชมป์สแปนิช ซูเปอร์ คัพ 2 สมัย อย่างไรก็ตามงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกลาในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ผู้เล่นชุดลา กวินต้า เดล บูอิเตร้ อย่างมาร์ติน บาสเกซ ย้ายไปร่วมทีมโตริโน่ในลีกอิตาลี,เอมิลิโอ บูตราเกนโญและมิเชล ที่ย้ายไปร่วมทีมเซเลย่าในลีกเม็กซิโก ในปี 1996 ลอเรนโซ่ ซานส์ ประธานสโมสรในขณะนั้นได้แต่งตั้งฟาบิโอ คาเปลโล่นายใหญ่ชาวอิตาลีมาเป็นผู้จัดการทีมอย่างไรก็ตามคาเปลโล่เข้ามาคุมทีมได้เพียงแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้นถึงกระนั้นเขาก็ยังพาทีมคว้าแชมป์ลา ลีกาได้พร้อมกับเสริมทัพนักเตะใหม่อย่างเปดราจ มิเยโทวิช ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าสัญชาติยูโกสลาเวีย,ดาวอร์ ซูเคอร์ ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าระดับตำนานทีมชาติโครเอเชีย,คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางทีมชาติเนเธอร์แลนด์,โรแบร์โต้ คาร์ลอส ผู้เล่นตำแหน่งแบ็คซ้ายทีมชาติบราซิล รวมไปถึงโบโด อิล์กเนอร์ ผู้รักษาประตูสัญชาติเยอรมนี ซึ่งผู้เล่นเหล่านี้ก็ได้เข้ามารวมกับบรรดาผู้เล่นในทีมคนก่อนๆอย่าง ราอูล กอนซาเลซ ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าระดับตำนานของทีมชาติสเปน,เฟอร์นานโด เอียร์โร่ ผู้เล่นตำแหน่งกองหลังทีมชาติสเปน,เฟอร์นานโด เรดอนโด้ ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวรับชาวอาร์เจนติน่า รวมไปถึงเฟอร์นานโด มอริเอนเตส ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าทีมชาติสเปนอีกรายหนึ่ง จนในที่สุดหลังจากที่รอคอยความสำเร็จในเวทีใหญ่ของยุโรปมาเป็นระยะเวลากว่า 32 ปีในที่สุดเรอัล มาดริดก็สามารถคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพมาครองได้เป็นสมัยที่ 7 ในปี 1998 ด้วยการเอาชนะยูเวนตุสคู่ปรับจากแดนมะกะโรนีไปด้วยสกอร์ 1-0 จากประตูชัยของเปดราจ มิเยโทวิชซึ่งในขณะนั้นทีมราชันชุดขาวมีผู้จัดการทีมคือจุปป์ ไฮย์เกส อย่างไรก็ตามในปี 1999 บิเซนเต้ เดล บอสเก้ก็ได้เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของเรอัล มาดริดโดยในช่วงฤดูกาลท้ายๆของทศวรรษ 1990 ทีมราชันชุดขาวนั้นมีผู้เล่นมากประสบกาณ์อย่าง โรแบร์โต้ คาร์ลอส,เฟอร์นานโด เอียร์โร่,เฟอร์นานโด เรดอนโด้,ราอูล กอนซาเลซผสมกับผู้เล่นดาวรุ่งหน้าใหม่มากพรสวรรค์จากทีมเยาวชนของทีมราชันชุดขาวอาทิเช่น เฟร์นานโด มอริเอนเตส ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าชาวสเปน,โฆเซ่ มาเรีย กูเตียร์เรซหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “กูตี” ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางชาวสเปนและอิเกร์ กาซิยาส ผู้รักษาประตูระดับตำนานชาวสเปน นอกจากนี้ยังมีการเสริมทัพผู้เล่นคนอื่นๆเข้ามาอีกอย่างสตีฟ แม็คมานามาน ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางชาวอังกฤษที่ย้ายมาจากลิเวอร์พูล,นิโกล่าส์ อเนลก้า ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าชาวฝรั่งเศสที่ย้ายมาจากอาร์เซน่อล,มิเชล ซัลกาโด้ ผู้เล่นตำแหน่งแบ็คขวาชาวสเปนจากเซลต้า บีโก้และอีวาน เอลเกร่า ผู้เล่นตำแหน่งกองหลังชาวสเปนจากเอสปันญ่อล ซึ่งในฤดูกาลแรกของเดล บอสเก้เขาก็ได้พาทีมราชันชุดขาวคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้เป็นสมัยที่ 8 ของสโมสรด้วยการเอาชนะบาเลนเซียคู่ปรับจากลีกเดียวกันด้วยสกอร์ 3-0 ในรอบชิงชนะเลิศโดยได้ประตูจากมอริเอนเตส,แม็คมานามาน และราอูล

เรอัล มาดริด 2000

เดือนกรกฎาคมปี 2000 มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในสโมสรเมื่อฟลอเรนติโน่ เปเรซนักธุรกิจชาวสเปนชนะการเลือกตั้งประธานสโมสรเรอัล มาดริด ซึ่งในการหาเสียงของเปเรซเขาได้ให้คำสาบานว่าเขาจะปลดหนี้ของสโมสรซึ่งมีจำนวนมากถึง 270 ล้านยูโรรวมไปถึงจะพัฒนาปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกของสโมสรให้ดียิ่งขึ้นอย่างไรก็ตามสิ่งที่ช่วยให้เปเรซสามารถคว้าตำแหน่งประธานสโมสรมาครองได้นั่นก็คือการเซ็นสัญญาคว้าตัวหลุยส์ ฟิโก้ ผู้เล่นซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกสจากบาร์เซโลน่าทีมคู่ปรับตลอดกาลและในปีต่อมาทางสโมสรก็ได้เปิดใช้สนามฝึกซ้อมแห่งใหม่และเริ่มมีการเสริมทัพผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์เข้ามาเรื่อยๆ รายชื่อผู้เล่นระดับโลกอย่างซีเนดีน ซีดาน,โรนัลโด้,หลุยส์ ฟิโก้,เดวิด เบ็คแฮมและฟาบิโอ คันนาวาโร่ต่างทยอยเข้ามาเป็นผู้เล่นของเรอัล มาดริดในยุคที่สื่อมวลชนต่างเรียกขานกันว่าเป็นยุค “กาลาคติกอส” ซึ่งมีความหมายตามภาษาสเปนว่าผู้มาจากดาราจักรเปรียบเสมือนผู้เล่นชุดนี้เป็นบรรดาผู้เล่นที่เก่งกาจและมีชื่อเสียงระดับโลกมีความสามารถและพรสวรรค์ระดับต้นๆของวงการ ซึ่งหลังจากใช้เวลาในการเสริมทัพให้กับทีมกาลาคติกอสอยู่หลายปีนั้นในที่สุด เรอัล มาดริดในยุคกาลาคติกอสก็สามารถคว้าแชมป์แรกของพวกเขาได้นั่นก็คือแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกและแชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพในปี 2002 และในปี 2003 ก็สามารถคว้าแชมป์ลาลีกามาครองได้ อย่างไรก็ตามไม่กี่วันหลังจากที่พวกเขาคว้าแชมป์ลา ลีกามาครองได้ในปี 2003 สโมสรก็มีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นเมื่อฟลอเรนติโน่ เปเรซประธานสโมสรได้ตัดสินใจปลดบิเซนเต้ เดล บอสเก้ผู้จัดการทีมออกจากตำแหน่งทำให้ผู้เล่นมากกว่า 12 คนตัดสินย้ายออกจากทีมไปซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเฟอร์นานโด เอียร์โร่กัปตันทีมที่ย้ายไปเล่นในลีกประเทศกาตาร์รวมไปถึงโคล้ด มาเกเลเล่ห้องเครื่องตัวเก่งชาวฝรั่งเศสที่ปฏิเสธการเข้าร่วมฝึกซ้อมกับสโมสรเพื่อประท้วงที่สโมสรให้ค่าเหนื่อยกับเขาน้อยมากๆเมื่อเทียบกับบรรดาผู้เล่นกาลาคติกอสคนอื่นๆซึ่งบทสรุปของเหตุการณ์นี้ก็จบลงที่มาเกเลเล่ย้ายไปเล่นในลีกประเทศอังกฤษโดยย้ายไปร่วมทีมเชลซี โดยผู้จัดการทีมคนใหม่ของเรอัล มาดริดคือคาร์ลอส เคยรอซนายใหญ่ชาวโปรตุเกส ในฤดูกาล 2005-06 เรอัล มาดริด ได้พยายามเสริมทัพครั้งใหญ่อีกครั้งโดยทีมราชันชุดขาวได้นำตัวชูลิโอ บาปติสต้า ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าชาวบราซิลที่ย้ายจากเซบีย่าด้วยค่าตัว 24 ล้านยูโร,โรบินโญ่ ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าชาวบราซิลที่ย้ายจากซานโตสด้วยค่าตัว 30 ล้านยูโรและเซร์คิโอ รามอส ผู้เล่นตำแหน่งกองหลังชาวสเปนที่ย้ายจากเซบีย่าด้วยค่าตัว 27 ล้านยูโรอย่างไรก็ตามผลงานของทีมกลับไม่สวยงามนักโดยเฉพาะในนัดที่พวกเขาเปิดสนามซานติอาโก้ เบร์นาเบวรับการมาเยือนของคู่ปรับตลอดกาลบาร์เซโลน่าก่อนที่ผลการแข่งขันจะเป็นทางทีมเยือนที่บุกมายัดเยียดความปราชัยถึงถิ่นราชันชุดขาวด้วยสกอร์ 3-0 เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2005 ส่งผลให้ผู้จัดการทีมในขณะนั้นอย่างฟานเดอร์เริล ลักเซมบูร์กูในเดือนถัดมาและเรอัล มาดริดได้นำตัวฆวน รามอน โลเปซ คาโร ซึ่งผลงานในตอนแรกของกุนซือชาวสเปนก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้อย่างดีแต่หลังจากที่พวกเขาแพ้ให้กับเรอัล ซาราโกซ่าในรอบ 8 ทีมสุดท้ายศึกโกปา เดล เรย์นัดแรกด้วยสกอร์ 6-1 และหลังจากนั้นไม่นานเรอัล มาดริดก็ตกรอบจากรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันด้วยฝีมือของอาร์เซน่อลทีมดังจากเกาะอังกฤษและในที่สุดวันที่ 27 กุมภาพันธ์ปี 2006 ฟลอเรนติโน่ เปเรซก็ลาออกจากตำแหน่งประธานสโมสร

เรอัล มาดริด 2009

หลังจากการลาออกของฟลอเรนติโน่ เปเรซ ก็ได้มีการจัดการเลือกตั้งเพื่อหาประธานสโมสรคนใหม่ซึ่งได้ผลสรุปในวันที่ 2 กรกฎาคมปี 2006 โดยเป็นรามอน กัลเดรอนที่ได้รับเลือกมาทำหน้าที่แทนฟลอเรนติโน่ เปเรซและแต่งตั้งให้ฟาบิโอ คาเปลโล่กลับมารับหน้าที่ผู้จัดการทีมพร้อมกับให้เปดราจ มิเยโทวิช อดีตผู้เล่นของทีมราชันชุดขาวมานั่งทำหน้าที่ผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ ในฤดูกาล 2006-07 สโมสรคว้าแชมป์ลา ลีกาได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่ปี 2003 อย่างไรก็ตามหลังจบฤดูกาลคาเปลโล่ก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมไปอยู่ดี หลังจากนั้นไม่นานในวันที่ 1 มิถุนายนปี 2009 ฟลอเรนติโน่ เปเรซก็กลับมารั้งตำแห่งประธานสโมสรดังเดิมพร้อมกับขุดนโยบายกาลาคติกอสขึ้นมาใช้อีกครั้งด้วยการซื้อตัวริคาร์โด้ กาก้า ผู้เล่นตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์ชาวบราซิลมาจากเอซี มิลานด้วยค่าตัวสถิติโลก ณ ตอนนั้นคือ 56 ล้านปอนด์และใช้เวลาไม่ถึง 2 เดือนในการทำลายสถิติเดิมที่ตัวเองทำไว้ด้วยการคว้าตัวคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกตัวเก่งชาวโปรตุเกสจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวกว่า 80 ล้านปอนด์ พร้อมกันนั้นเรอัล มาดริดก็ได้แต่งตั้งโชเซ่ มูรินโญ่ เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2010 ในเดือนเมษายนปี 2011 ได้เกิดเหตุการณ์สุดเซอร์ไพร์สในวงการลูกหนังสเปนเมื่อเกมส์เอล กลาซิโก้ซึ่งเป็นการพบกันของสองทีมยักษ์ใหญ่แดนกระทิงดุอย่างเรอัล มาดริดและบาร์เซโลน่าเกิดขึ้นถึง 4 ครั้งในรอบ 18 วัน นัดแรกเป็นการพบกันในเกมส์ลาลีกาโดยจบลงด้วยผลเสมอ 1-1 นัดที่สองเป็นการพบกันในเกมส์นัดชิงชนะเลิศศึกโกปา เดล เรย์ ซึ่งเป็นทางเรอัล มาดริด ที่เอาชนะไปได้ 1-0 และอีกสองนัดที่เหลือเป็นการพบกันในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ โดยรอบนี้เป็นทางบาร์เซโลน่าที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปได้ด้วยผลสกอร์รวมสองนัดชนะไป 3-1 และในฤดูกาล 2011-12 เรอัล มาดริดคว้าแชมป์ลาลีกา พร้อมกับสร้างสถิติคว้าแชมป์ลาลีกาได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ลีกสเปนรวมไปถึงสร้างสถิติใหม่ของสโมสรด้วยการคว้าแชมป์ด้วยการมีแต้ม 100 แต้ม,ทำประตูไป 121 ลูก,ผลต่างประตูได้เสีย +89,ชนะเกมส์เยือนได้มากถึง 16 นัดและเก็บชัยชนะได้มากถึง 32 นัด ตลอดทั้งฤดูกาลและในฤดูกาลเดียวกันนั้นเองคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็สร้างสถิติเป็นผู้เล่นที่ทำประตู 100 ลูกได้ไวที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสเปนโดยการใช้เวลาไปเพียง 92 นัดแซงหน้าเฟเรนซ์ ปุสกัส เจ้าของสถิติเดิมซึ่งใช้เวลาไป 105 นัดนอกจากนี้โรนัลโด้ยังสร้างสถิติทำประตูในหนึ่งปีได้มากที่สุดเป็นสถิติใหม่ของสโมสรด้วยการทำประตูได้มากถึง 60 ลูกและกลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำประตูใส่อีก 19 ทีมที่เหลือได้ในหนึ่งฤดูกาล ในฤดูกาล 2012-13 เรอัล มาดริด เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์สแปนิช ซูเปอร์คัพด้วยการเอาชนะบาร์เซโลน่าไปได้ด้วยกฎประตูทีมเยือนหลังจากรวมผลสกอร์สองนัดเสมอกันไปด้วยสกอร์ 4-4 อย่างไรก็ตามในฤดูกาลนี้เองพวกเขาทำได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์แต่พวกเขาก็สามารถคว้าตัวผู้เล่นคนสำคัญมาเสริมทัพได้ซึ่งก็คือเพลย์เมคเกอร์ชาวโครเอเชียอย่างลูก้า โมดริช มาจากท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สทีมดังจากลีกประเทศอังกฤษด้วยค่าตัว 33 ล้านปอนด์ และหลังจากที่ทีมราชันชุดขาวแพ้ให้กับแอตเลติโก มาดริด ทีมคู่ปรับร่วมเมืองในช่วงต่อเวลาพิเศษในรอบชิงชนะเลิศศึกโกปา เดล เรย์ ด้วยสกอร์ 2-1 ทางสโมสรก็ได้ประกาศแยกทางกับโชเซ่ มูรินโญ่ นายใหญ่ของทีมและในวันที่ 25 มิถุนายนปี 2013 สโมสรก็ได้ประกาศแต่งตั้งคาร์โล อันเชลอตติ เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่โดยมีซีเนดีน ซีดาน อดีตตำนานกองกลางทีมชาติฝรั่งเศสซึ่งเคยค้าแข้งให้กับทีมมาเป็นหนึ่งในผู้ช่วยของอันเชลอตติ หลังจากการเปลี่ยนผู้จัดการทีมคนใหม่ได้ไม่นานสโมสรก็ได้ทำการทำลายสถิติซื้อขายนักเตะอีกครั้งด้วยการทุ่มเงินกว่า 100 ล้านยูโรเป็นค่าตัวให้กับแกเร็ธ เบล ปีกพญาวานรของท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ส เมื่อวันที่ 1 กันยายนปี 2013 ในการเข้ามาคุมทีมฤดูกาลแรกของอันเชลอตติ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์โกปา เดล เรย์ จากการเอาชนะบาร์เซโลน่าได้ในรอบชิงชนะเลิศ 2-1 พร้อมกับเอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองอย่างแอธเลติโก มาดริด ไปได้ในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยสกอร์ 4-1 คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก (รวมสมัยยูโรเปี้ยน คัพ)ได้เป็นสมัยที่ 10 และหลังจากจบฤดูกาลด้วยความสำเร็จในช่วงปิดฤดูกาลเรอัล มาดริด ก็ได้ซื้อตัวเคย์เลอร์ นาบาส ผู้รักษาประตูชาวคอสตาริกา,โทนี่ โครส ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางชาวเยอรมนี และฮาเมส โรดริเกซ ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวรุกชาวโคลัมเบียเข้ามาเสริมทีมพร้อมกับเปิดฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ โดยเอาชนะเซบีย่าไปได้ 2-0 ซึ่งถือเป็นแชมป์อย่างเป็นทางการของสโมสรถ้วยที่ 79 อย่างไรก็ตามด้วยการที่ทีมมีซูเปอร์สตาร์อยู่เต็มทีมทำให้ก็มีความจำเป็นที่จะต้องปล่อยผู้เล่นบางคนออกจากทีมไปซึ่งในสัปดาห์สุดท้ายก่อนตลาดช่วงซัมเมอร์จะปิดเรอัล มาดริด ก็ตัดสินใจขายชาบี อลอนโซ่ ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางของทีมไปให้กับทีมบาเยิร์น มิวนิคและขายอังเกล ดิ มาเรีย ผู้เล่นตำแหน่งริมเส้นของทีมไปให้กับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งการตัดสินใจปล่อยตัวสองผู้เล่นคนสำคัญออกจากทีมไปสร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาผู้เล่นรวมไปถึงคาร์โล อันเชลอตติเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะปล่อยผู้เล่นคนสำคัญออกจากทีมไปแต่บรรดาผู้เล่นที่เข้ามาใหม่กับผู้เล่นชุดเดิมก็เข้าขากันอย่างมาก ในฤดูกาล 20114-15 เรอัล มาดริด ทำลายสถิติชนะติดต่อกัน 22 นัดซึ่งใน 22 นัดนี้พวกเขาสามารถเอาชนะทั้งบาร์เซโลน่าและลิเวอร์พูลได้ในการพบกันแซงหน้าสถิติชนะติดต่อกันในลีกสเปนที่บาร์เซโลน่าในยุคของแฟรงค์ ไรจ์การ์ด ทำไว้ที่ 18 นัดเมื่อฤดูกาล 2005-06 ซึ่งสถิติชนะต่อเนื่ององพวกเขาสิ้นสุดลงในเกมส์แรกของปี 2015 เมื่อพวกเขาแพ้บาเลนเซียทำให้พลาดโอกาสที่จะทำลายสถิติชนะติดต่อกันมากที่สุดของโลกที่มีการบันทึกไว้ที่ 24 นัดและในฤดูกาลเดียวกันนี้เรอัล มาดริดไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆได้เลยทั้งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก(แพ้ยูเวนตุสในรอบรองชนะเลิศ),โกปา เดล เรย์หรือลาลีกา (รองแชมป์ ตามหลังบาร์เซโลน่า 2 แต้ม) ทำให้สโมสรตัดสินใจปลดอันเชลอตติ ออกในวันที่ 25 พฤษภาคมปี 2015 และได้ทำการแต่งตั้งราฟาเอล เบนิเตซ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่เมื่อวันที่ 3 มิถุนายนปี 2015 โดยเซ็นสัญญา 3 ปี อย่างไรก็ตามเบนิเตซกลับทำผลงานได้ไม่ดีในการคุมทีมราชันชุดขาวแม้ว่าจะพาทีมไม่แพ้ใครในเกมส์ลีกถึง 10 นัดติดต่อกันก่อนที่จะบุกไปแพ้เซบีย่า 3-2 และหลังจากนั้นผลงานของทีมราชันชุดขาวก็เริ่มไม่เข้าตาแฟนบอล พวกเขาเปิดซานติอาโก้ เบร์นาเบวทำศึกเอล กลาซิโก้ นัดแรกของฤดูกาลรับคู่ปรับตลอดกาลอย่างบาร์เซโลน่าแต่กลับเป็นทีมเยือนที่บุกมายัดเยียดความปราชัยให้กับพลพรรคโลส บลังโกสอย่างถล่มถลาย 4-0 ก่อนที่ในรายการถ้วยโกปา เดล เรย์รอบ 32 ทีมที่พวกเขาพบกับคาดิซ เบนิเตซจะทำเรื่องที่ไม่น่าเชื่อโดยใส่ชื่อของเดนิส เชอรีเชฟ ผู้เล่นตำแหน่งริมเส้นลงสนามทั้งๆที่ติดคัพไทอยู่ทำให้แม้ว่าในนัดแรกเรอัล มาดริดจะเอาชนะไปได้อย่างง่ายดายด้วยสกอร์ 3-1 แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สมาคมฟุตบอลของประเทศสเปนตัดสินใจยกเลิกการแข่งขันในนัดที่สองพร้อมกับปรับเรอัล มาดริด ให้ตกรอบจนในที่สุดเบนิเตซก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในวันที่ 4 มกราคมปี 2016 เนื่องจากไม่เป็นที่ยอมรับของแฟนบอลรวมไปถึงบรรดาผู้เล่นในทีมก็ดูเหมือนจะไม่ชอบในตัวเบนิเตซด้วย

เรอัล มาดริด ซีเนดีน ซีดาน

ซึ่งหลังจากสโมสรได้ทำการปลดเบนิเตซออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ในวันเดียวกันนี้เองสโมสรก็ได้ตั้งซีเนดีน ซีดาน ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ซึ่งถือเป็นการรับตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมเป็นครั้งแรกของอดีตกองกลางชาวฝรั่งรายนี้ด้วย ในฤดูกาล 2015-16 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกของซีดานในการเป็นผู้จัดการทีม เขาพาทีมจบรองแชมป์ลาลีกาโดยมีคะแนนห่างจากบาร์เซโลน่าแชมป์ในปีนั้นอยู่หนึ่งคะแนนและในวันที่ 28 พฤษภาคม เขาก็พาเรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นสมัยที่ 11 ของสโมสรมากที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขัน ในฤดูกาล 2016-17 เรอัล มาดริด เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ โดยเอาชนะเซบีย่าในช่วงต่อเวลาพิเศษไปได้ด้วยสกอร์ 3-2 และในวันที่ 10 ธันวาคมปี 2016 เรอัล มาดริด ในยุคของซีเนดีน ซีดาน สร้างสถิติใหม่ให้กับสโมสรด้วยการไม่แพ้ใครเป็นนัดที่ 35 หลังจากนั้นอีก 8 วัน เรอัล มาดริดก็คว้าแชมป์สโมสรโลกด้วยการเอาชนะคาชิม่า แอนท์เลอร์ส 4-2 ในรอบชิงชนะเลิศ เรอัล มาดริด ในยุคซีดานยังคงสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่องโดยในวันที่ 12 มกราคมปี 2017 หลังจากผลการแข่งขันที่พวกเขาบุกไปเสมอเซบีย่า 3-3 ทำให้เรอัล มาดริดไม่แพ้ใครในทุกรายการเป็นนัด 40 ติดต่อกันสร้างสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันเป็นสถิติใหม่ของสโมสรในประเทศสเปนแซงหน้าบาร์เซโลน่าที่ทำไว้ที่ 39 นัดเมื่อฤดูกาลก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามสถิตินี้ก็จบลงในอีก 3 วันถัดมาหลังจากที่พวกเขาบุกไปแพ้เซบีย่า 2-1 ในเกมส์ลีกถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังจบฤดูกาลด้วยการเป็นแชมป์ลีกเป็นสมัยที่ 33 ของสโมสรซึ่งถือเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 5 ปีของสโมสรและในวันที่ 3 มิถุนายน เรอัล มาดริดก็สร้างชื่อเป็นสโมสรแรกที่สามารถป้องกันแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (ไม่นับสมัยยังใช้ชื่อรายการว่ายูโรเปี้ยน คัพ) ได้ด้วยการเอาชนะยูเวนตุสในรอบชิงชนะเลิศได้ 4-1 โดยได้ประตูจากคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ทำไป 2 ประตู,คาเซมิโร่และมาร์โก อเซนซิโอ อีกคนละหนึ่งประตูทำให้พวกเขาสามารถคว้าแชมป์รายการนี้ได้เป็นสมัยที่ 12

เรอัล มาดริด 2017-18

ฤดูกาล 2017-18 เรอัล มาดริด เปิดฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ได้อีกครั้งด้วยการเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 หลังจากนั้นอีก 5 วันพวกเขาก็บุกไปเอาชนะบาร์เซโลน่าได้ถึงถิ่นคัมป์ นูด้วยสกอร์ 3-1 ในการแข่งขันรายการสแปนิช ซูเปอร์คัพ นัดแรกก่อนที่อีก 3 วันต่อมาพวกเขาจะตอกย้ำชัยชนะด้วยการเปิดบ้านเอาชนะบาร์เซโลน่าไปได้ 2-0 พร้อมกับหยุดสถิติทำประตูติดต่อกันในเกมส์เอลกลาซิโก้ของทีมบาร์เซโลน่าลงไว้ที่ 24 นัดรวมผลสองนัดก็เป็นทางด้านเรอัล มาดริด ที่คว้าแชมป์สแปนิช ซูเปอร์ คัพไปครองด้วยผลสกอร์รวมสองนัด 5-1 และในวันที่ 16 ธันวาคมปี 2017 เรอัล มาดริดก็เอาชนะเกรมิโอ้ทีมดังจากลีกประเทศบราซิลไปได้ 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศศึกชิงแชมป์สโมสรโลกพร้อมกับสร้างสถิติเป็นสโมสรแรกของโลกที่สามารถป้องกันแชมป์รายการนี้ไว้ได้สำเร็จพร้อมกับจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นสมัยที่สามติดต่อกันสร้างสถิติเป็นสโมสรแรกที่สามารถคว้าแชมป์รายการนี้ไว้ได้ 3 ปีติดต่อกัน อย่างไรก็ตามงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ภายหลังจากการคว้าแชมป์ยุโรปของเรอัล มาดริด ได้เพียงแค่ 5 วัน นายใหญ่ชาวฝรั่งเศสซีเนดีน ซีดานก็ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมโดยอ้างว่าสโมสรแห่งนี้ควรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งในวันที่ 12 มิถุนายนปีเดียวกัน เรอัล มาดริด ก็ได้ประกาศแต่งตั้งฆูเลน โลเปเตกี ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติสเปนให้เป็นู้จัดการทีมคนใหม่ของทีมราชันชุดขาวหลังจากนั้นสโมสรก็ได้มีการสร้างทีมขึ้นมาใหม่ในช่วงตลาดปิดฤดูกาล 2018 หนึ่งในการสร้างทีมขึ้นใหม่นั้นคือการโละผู้เล่นคนเก่าๆของทีมออกซึ่งก็เป็นคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกซูเปอร์สตาร์ของทีมที่ถูกขายไปให้กับยูเวนตุสทีมแชมป์เก่าเซเรียอา ของลีกประเทศอิตาลีด้วยค่าตัว 100 ล้านยูโรอย่างไรก็ตามผลงานของทีมในยุคของโลเปเตกีก็ไม่ดีนักทำให้ในที่สุดสโมสรก็ได้ตัดสินใจปลดโลเปเตกีออกด้วยเวลาอย่างรวดเร็วพร้อมกับดันซานติอาโก้ โซลารี่ขึ้นมาจากผู้จัดการทีมชุดเยาวชนให้มารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมชุดใหญ่ ในวันที่ 22 ธันวาคมปี 2018 เรอัล มาดริด คว้าแชมป์สโมสรโลกได้อีกสมัยหลังเอาชนะอัล ไอน์ ทีมแชมป์ลีกของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ในรอบชิงชนะเลิศด้วยสกอร์ 4-1 ซึ่งทำให้เรอัล มาดริด กลายมาเป็นสโมสรที่คว้าแชมป์สโมสรโลกมากที่สุดด้วยจำนวน 4 ครั้ง (หากรวมสมัยเป็นถ้วยอินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ อีก 3 สมัย ก็จะทำให้เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ระดับโลกได้มากถึง 7 สมัยด้วยกัน) รวมไปถึงสร้างสถิติเป็นสโมสรแรกที่สามารถคว้าแชมป์สโมสรโลกได้ติดต่อกันถึง 3 สมัยติด

เรอัล มาดริด ตราสโมสรและสีเสื้อ

ตราสโมสรแรกเริ่มของสโมสรแห่งนี้ถูกออกแบบอย่างเรียบง่ายด้วยการนำตัวอักษร 3 ตัวมาซ้อนทับกันได้แก่ M-C-F ซึ่งมาจาก Madrid Club de Futbol ด้วยมีการใช้สีน้ำเงินเป็นสีในการทำตราสโมสรลงบนอกเสื้อสีขาว ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงตราสโมสรขึ้นในปี 1908 ด้วยการนำตัวอักษรเดิม M-C-F มาทำให้อ่านง่ายมากขึ้นพร้อมกับนำตัวอักษรทั้งสามมาใส่ในวงกลม และเกิดการเปลี่ยนแปลงของตราสโมสรขึ้นอีกครั้งในปี 1920 เมื่อพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 13 ได้พระราชทานเครื่องหมายมงกุฎให้กับสโมสรแห่งนี้ซึ่งทำให้สโมสรแห่งนี้เปลี่ยนชื่อเป็น Real Madrid Club de Futbol ต่อมาในปี 1931 ในมีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในประเทศสเปนซึ่งก็ได้ทำให้ตราสัญลักษณ์มงกุฏบนตราสโมสรนั้นหายไปทั้งหมดและถูกแทนที่ด้วยแถบคาดสีเข้มซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแคว้นคาสตีลแทนหลังจากนั้นในปี 1941 หลังจากที่สงครามกลางเมืองสเปนจบลงไปได้ 2 ปีตราสัญลักษณ์มงกุฎก็ได้กลับคืนสู่สโมสรอีกครั้งอีกทั้งแถบคาดสีเข้มที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ถูกเอาออกไปทำให้ตราสัญลักษณ์นี้ถูกใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

ทางด้านสีเสื้อของทีมนั้นเรอัล มาดริด ได้ใช้สีเสื้อสีขาวเป็นสีเสื้อประจำการลงเล่นในสนามเหย้าของตัวเองมาโดยตลอด นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรขึ้นมาอย่างไรก็ตามก็มีฤดูกาลหนึ่งที่ทางผู้บริหารตัดสินใจที่จะใช้สีอื่นนอกจากสีขาวในชุดการแข่งขัน ในปี 1925 ผู้บริหารของทีมได้เดินทางไปยังประเทศอังกฤษและได้เห็นทีมจากอังกฤษใช้กางเกงสีดำคู่กับเสื้อสีขาวซึ่งทำให้ทางผู้บริหารของสโมสรตัดสินใจที่ลอกเลียนแบบการแต่งตัวของทีมจากอังกฤษด้วยการเปลี่ยนสีกางเกงจำสีขาวเป็นสีดำแทนถึงอย่างนั้นความคิดก็ทำได้เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้นก็มีอันต้องยกเลิกไป ต่อมาเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนปี 1947 ในเกมส์ที่เรอัล มาดริดลงทำศึกดาร์บี้แมตช์พบกับแอตเลติโก มาดริด ทีมราชันชุดขาวก็ได้กลายเป็นสโมสรแรกของประเทศสเปนที่มีการใส่เบอร์ผู้เล่นลงบนเสื้อในขณะที่สีเสื้อที่ใช้ในการลงเล่นในเกมส์เยือนนั้นทางสโมสรก็ได้ยึดถือสีน้ำเงินหรือสีม่วงเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามเราจะได้เห็นในหลายๆปีที่ผ่านมาว่าทางทีมราชันชุดขาวได้มีสีเสื้อที่ลงเล่นในเกมส์เยือนอื่นๆที่นอกเหนือจากสองสีนี้เช่น สีแดง,สีเขียว,สีส้ม และสีดำ

เรอัล มาดริด สนามเหย้า

เรอัล มาดริด มีสนามเหย้าเป็นของตัวเองแห่งแรกเมื่อปี 1912 โดยสนามแห่งแรกของทีมนั้นมีชื่อว่าสนาม แคมโป เด โอดอนเนลและได้ใช้สนามแห่งนี้เป็นสนามเหย้าเป็นระยะเวลากว่า 11 ปีก่อนที่จะย้ายไปยังสนามแคมโป เด เซียดัด ลิเนีย สนามเล็กๆที่มีความจุเพียง 8,000 คนเป็นการชั่วคราวหนึ่งปี หลังจากนั้นทีมราชันชุดขาวก็ย้ายไปเล่นเกมส์เหย้าที่สนามเอสตาดิโอ ชาร์มาติน ที่มีความจุ 22,500 คนซึ่งมีแมตช์เปิดตัวสนามแห่งนี้เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมปี 1923 ในเกมส์ยุโรปพบกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด สโมสรจากประเทศอังกฤษ ณ สนามแห่งนี้เองที่เรอัล มาดริด ใช้ในการเฉลิมฉลองแชมป์ลีกสูงสุดของสเปนครั้งแรกของสโมสรและยังเป็นสนามที่เรอัล มาดริด ใช้คว้าแชมป์ต่างๆ อีกมากมายอย่างไรก็ตามในปี 1943 ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ประธานสโมสในขณะนั้นได้ตัดสินใจที่จะสร้างสนามแห่งใหม่ขึ้นมาเนื่องจากมองว่าสนามแห่งนี้มีขนาดเล็กเกินไปที่จะใช้จุจำนวนผู้ชมที่เขาคาดว่าจะเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่านี้อีกในอนาคตโดยสนามแห่งใหม่นั้นได้รับอนุมัติการสร้างเมื่อวันที่ 14 ธันวาคมปี 1947 ซึ่งสนามแห่งนี้ก็ยังถูกใช้มาจนถึงปัจจุบันนั่นก็คือสนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว ซึ่งใช้ชื่อสนามเหมือนอดีตประธานสโมสรเมื่อปี 1955 เพื่อให้เกียรติกับอดีตประธานสโมสรผู้ที่ริเริ่มการสร้างสนามเหย้าแห่งใหม่ให้กับทีม เกมส์แรกของเรอัล มาดริด ในสนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว คือเกมส์ที่พวกเขาเจอกับเบเลเนนส์ทีมจากประเทศโปรตุเกสซึ่งผลจบลงที่พลพรรคเอาชนะไปได้ 3-1

สนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว ถูกเปลี่ยนแปลงความจุอยู่บ่อยครั้งจนไปถึงระดับความจุสูงสุดที่รองรับได้นั่นคือ 120,000 คนหลังจากการขยายขนาดสนามเมื่อปี 1953 อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นสนามก็ถูกทำให้ต้องลดความจุของสนามลงเพื่อให้มันทันสมัยมากยิ่งขึ้นรวมไปถึงการยกเลิกอัฒจรรย์ยืนเชียร์ในฤดูกาล 1998-99 เพื่อตอบสนองต่อระเบียบของทางยูฟ่าที่ไม่ต้องการให้ทุกทีมมีอัฒจรรย์ยืนในสนามเหย้าของตนเนื่องจากว่ามีอัตราการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าอัฒจรรย์แบบนั่ง ซึ่งในปัจจุบันจำนวนของผู้ชมที่สนามแห่งนี้รองรับได้สูงสุดคือ 81,044 คนแต่ก็ยังมีแผนการที่จะเพิ่มหลังคาแบบเปิด-ปิดได้อยู่ สนามซานติอาโก้ เบร์นาเบวของเรอัล มาดริด มีสถิติเป็นสนามที่มีผู้ชมเฉลี่ยมากเป็นอันดับที่ 4 จากสโมสรทั้งหมดในยุโรปตามหลังเพียงแค่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมดังจากลีกประเทศเยอรมนี,บาร์เซโลน่า คู่ปรับร่วมลีก และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังจากเกาะอังกฤษ นอกจากนี้สนามแห่งนี้ยังเคยได้รับเลือกไปเป็นสนามที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือที่เรารู้จักกันในชื่อฟุตบอลยูโรในปี 1964 นัดชิงชนะระหว่างทีมชาติสเปนกับทีมชาติสหภาพโซเวียต,การแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1982 นัดชิงชนะเลิศระหว่างทีมชาติอิตาลีกับทีมชาติเยอรมนีตะวันตกรวมไปถึงเป็นสนามที่ใช้ในการแข่งรอบชิงชนะเลิศรายการยูโรเปี้ยน คัพในปี 1957,1969,1980 และรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในปี 2010 ปัจจุบันสนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว ได้รับการเลื่อนขั้นไปเป็นสนามที่มีมาตรฐานระดับสูงสุดซึ่งยูฟ่าเป็นผู้กำหนดมาตรฐานให้กับสนามต่างๆด้วยตัวเอง

นอกจากนี้เรอัล มาดริด ยังมีอีกหนึ่งสนามของสโมสรนั่นคือสนามอัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ ซึ่งมีความจุอยู่ที่ประมาณ 5,000 คน โดยสนามแห่งนี้ตั้งชื่อตามอัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่อดีตตำนานกองหน้าของทีม สนามแห่งนี้เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ปี 2006 โดยเป็นสนามที่ผู้เล่นเรอัล มาดริดมักจะใช้ในการซ้อมอยู่เสมอ โดยในวันเปิดใช้สนามแห่งนี้ได้มีการแข่งขันฟุตบอลขึ้นระหว่างเรอัล มาดริดกับทีมสต๊าด เดอ แร็งส์จากลีกฝรั่งเศสซึ่งเป็นการรีแมตช์ของคู่ชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพปี 1956 ซึ่งในเกมส์รีแมตช์นี้ก็เป็นทางเรอัล มาดริดที่เอาชนะทีมสต๊าด เดอ แร็งส์ไปได้ด้วยสกอร์ 6-1 โดยได้ประตูจากอันโตนิโอ คาสซาโน่ ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าทีมชาติอิตาลีและโรแบร์โต้ โซลดาโด้ ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าทีมชาติสเปนคนละ 2 ประตูส่วนอีก 2 ประตูที่เหลือก็เป็นเซร์คิโอ รามอส ผู้เล่นตำแหน่งกองหลังและโฆเซ่ มานูเอล ฆูราโด้ ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวรุก 2 ผู้เล่นชาวสเปนที่ช่วยทำประตูให้กับทีม นอกจากนี้สนามแห่งนี้ยังถูกใช้เป็นสนามเหย้าของทีมเรอัล มาดริด กาสตีย่าสโมสรลูกของทีมเรอัล มาดริด ที่มักจะเป็นทีมที่มีเยาวชนของเรอัล มาดริด ลงเล่นอยู่

เรอัล มาดริด นักเตะที่น่าสนใจ

ราอูล กอนซาเลซ กองหน้าชาวสเปนเป็นผู้เล่นที่ลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ด้วยจำนวนการลงสนาม 741 นัดนับตั้งแต่ปี 1994 จนถึงปี 2010 ตามมาด้วยอิเกร์ กาซิยาส ผู้รักษาประตูชื่อดังที่ลงสนามในสีเสื้อชุดขาวไปทั้งหมด 725 นัดและอันดับที่ 3 ได้แก่มานูเอล ซานชีส ผู้เล่นตำแหน่งกองหลังด้วยจำนวนการลงเล่น 710 นัด

อิเกร์ กาซิยาส ผู้รักษาประตูชาวสเปนเป็นผู้เล่นตำแหน่งผู้รักษาประตูที่ลงสนามให้กับเรอัล มาดริดมากที่สุดด้วยจำนวนกว่า 725 นัด

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกชาวโปรตุเกสเป็นผู้เล่นที่ทำประตูในสีเสื้อเรอัล มาดริด มากที่สุดโดยไปทำประตูไปถึง 450 ลูกนอกจากนี้ยังมีสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับผู้ทำประตูให้กับทีมอีกนั่นคือมีผู้เล่นเพียงแค่ 5 คนเท่านั้นนอกเหนือจากคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ทำประตูให้กับทัพโลส บลังโกสได้เกิน 200 ลูก ได้แก่ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ (ค้าแข้งตั้งแต่ปี 1953-64),คาร์ลอส อลอนโซ่ กอนซาเลซ(ค้าแข้งตั้งแต่ปี 1971-88),เฟเรนซ์ ปุสกัส(ค้าแข้งตั้งแต่ปี 1958-66),ฮูโก้ ซานเชซ(ค้าแข้งตั้งแต่ปี 1985-92) และราอูล กอนซาเลซ (ค้าแข้งตั้งแต่ปี 1994-2010) นอกจากนี้คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยังเป็นผู้เล่นที่ทำให้ประตูให้กับเรอัล มาดริด ในรายการลาลีกามากที่สุดในหนึ่งฤดูกาลอีกด้วยด้วยจำนวน 48 ประตูในฤดูกาล 2014-15 และยังเป็นผู้ทำประตูให้เรอัล มาดริด ในเกมส์ลาลีกามากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรด้วยจำนวนประตูกว่า 311 ลูก สำหรับในเวทียุโรปนั้นก็ยังคงเป็นคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ทำประตูมากที่สุดด้วยจำนวน 105 ลูก

โรนัลโด้ กองหน้าชาวบราซิลเจ้าของฉายาโล้นทองคำเป็นผู้เล่นที่ทำประตูได้ไวที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรโดยใช้เวลาเพียงแค่ 12 วินาทีในเกมส์ลา ลีกาที่พวกเขาพบกับแอตเลติโก มาดริดคู่ปรับร่วมเมืองเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมปี 2003

จำนวนผู้ชมมากที่สุดในสนามซานติอาโก้ เบร์นาเบวที่เข้ามาดูเรอัล มาดริด คือ 83,329 คนในการแข่งขันโกปา เดล เรย์ เมื่อปี 2006 นอกจากนี้ในฤดูกาล 2007-08 สนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว ยังเป็นสนามที่มีผู้ชมเฉลี่ยต่อหนึ่งนัดมากที่สุดในทวีปยุโรปอีกด้วยด้วยจำนวนผู้ชมเฉลี่ยต่อหนึ่งนัดอยู่ที่ 76,234

เรอัล มาดริด เป็นสโมสรที่คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มากที่สุด(นับสมัยยูโรเปี้ยน คัพ)ด้วยจำนวน 13 สมัยและเป็นสโมสรที่ผ่านเข้าลงเล่นในรอบรองชนะเลิศมากที่สุดด้วยจำนวน 28 ครั้งนอกจากนี้เรอัล มาดริด ยังเป็นสโมสรที่เข้ามาเล่นรอบแบ่งกลุ่มของรายการยูโรเปี้ยนคัพติดต่อกันมากที่สุดด้วยจำนวน 15 ฤดูกาล(ไม่นับยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก)คือตั้งแต่ฤดูกาล 1955-56 ไปจนถึงฤดูกาล 1969-70

เรอัล มาดริด สร้างสถิติเป็นทีมที่เก็บชัยชนะติดต่อกันในทุกรายการได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังแดนกระทิงดุด้วยจำนวน 22 เกมส์ในฤดูกาล 2014-15

เรอัล มาดริด ผู้เล่นค่าตัวแพง

เรอัล มาดริด เคยเป็นเจ้าของสถิติซื้อ-ขายผู้เล่นค่าตัวแพงที่สุดในโลกถึง 3 ครั้งได้แก่
ครั้งที่ 1 ซื้อตัวซีเนดีน ซีดาน เพลย์เมคเกอร์ชาวฝรั่งเศสมาจากยูเวนตุสด้วยค่าตัว 77.5 ล้านยูโรเมื่อปี 2001
ครั้งที่ 2 ซื้อตัวคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกชาวโปรตุเกสมาจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 94 ล้านยูโร
ครั้งที่ 3 ซื้อตัวแกเร็ธ เบล ปีกพญาวานรชาวเวลส์มาจากท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สด้วยค่าตัว 100 ล้านยูโร

เรอัล มาดริด แฟนบอล

เรอัล มาดริด เป็นสโมสรที่มีแฟนบอลอยู่ทั่วทุกมุมโลก มีตัวเลขจำนวนผู้ชมเฉลี่ยมากที่สุดเป็นอันดับที่สองของลีกสเปนด้วยจำนวน 74,000 คนต่อนัด ความนิยมของเรอัล มาดริด เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปีจนเมื่อเดือนเมษายนปี 2017 ที่ผ่านมาเรอัล มาดริด ก็เป็นสโมสรแรกของโลกที่มีจำนวนผู้กดไลค์เพจทางการของสโมสรครบ 100 ล้านคนนอกจากนี้แฟนบอลเรอัล มาดริด ก็ได้มีการจัดตั้งกลุ่มอุลตร้าหรือกลุ่มแฟนบอลพันธุ์ดุขึ้นมาซึ่งก็มีหลายต่อหลายครั้งพวกเขาได้ทำร้ายผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามจนถูกตรวจสอบจากยูฟ่าซึ่งประธานสโมสรอย่างฟลอเรนติโน่ เปเรซ ก็ได้สั่งห้ามให้แฟนบอลกลุ่มนี้เข้ามาในสนามเพื่อที่จะให้เกิดความสงบแก่แฟนบอลคนอื่นๆที่ตั้งใจเข้ามาดูทีมราชันชุดขาวลงเล่นซึ่งแน่นอนว่ากลุ่มแฟนบอลอุลตร้าก็ได้รวมตัวกันออกมาประท้วงถึงการกระทำดังกล่าวจนในที่สุดฟลอเรนติโน่ เปเรซก็ต้องยกเลิกความคิดดังกล่าวไป

เรอัล มาดริด เจอ บาร์เซโลน่า

ทีมคู่ปรับที่สำคัญของเรอัล มาดริด นั้นมีทั้งในประเทศและต่างประเทศได้แก่ แอตเลติโก มาดริด,บาร์เซโลน่า,แอธเลติก บิลเบา,ยูเวนตุส ยักษ์ใหญ่ลูกหนังอิตาลี และบาเยิร์น มิวนิค ยักษใหญ่ลูกหนังเยอรมนี

บาร์เซโลน่า เป็นเสมือนการพบกันของทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบนเส้นทางลูกหนังแดนกระทิงดุทั้งสองทีมต่างมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและคว้าแชมป์มากมายทั้งในประเทศและในระดับยุโรป การพบกันของทั้งเรอัล มาดริดและบาร์เซโลน่านั้นต่างก็รู้จักกันในชื่อเกมส์ “เอล กลาซิโก้” ภูมิหลังของการเป็นคู่ปรับของสองทีมนี้ต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยสงครามกลางเมืองของสเปนทั้งสองทีมนี้เปรียบเสมือนตัวแทนของแคว้นโดยบาร์เซโลน่าเป็นตัวแทนของแคว้นคาตาโลเนียส่วนเรอัล มาดริดเป็นตัวแทนของแคว้นคาสตีลแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางด้านการเมืองและวัฒนธรรมของทั้งสองแคว้นที่ส่งผลไปถึงทั้งเรอัล มาดริดและบาร์เซโลน่า นับตั้งแต่ทั้งสองก่อตั้งสโมสรกันนั้นทั้งคู่ลงทำการแข่งขันพบกันทั้งหมด 238 นัดในทุกรายการ(ไม่นับรวมนัดกระชับมิตร)และเป็นทางฝั่งเรอัล มาดริดที่เอาชนะคู่ปรับตลอดกาลไปได้ 95 นัดในขณะที่บาร์เซโลน่าเอาชนะเรอัล มาดริดได้ 93 นัดและจบลงด้วยผลเสมออีก 50 นัด (ข้อมูลถึงเดือนมกราคมปี 2019)

เรอัล มาดริด เจอ แอตเลติโก มาดริด

แอตเลติโก มาดริด คู่ปรับร่วมเมืองมาดริดของทีมราชันชุดขาว โดยทั้งสองทีมต่างก็มีแฟนบอลจำนวนมากภายในประเทศในยุคแรกเริ่มของทั้งสองสโมสรนั้นผู้สนับสนุนของทีมเรอัล มาดริดมักจะเป็นกลุ่มชนชั้นกลางไปจนถึงชนชั้นสูงในขณะที่แอตเลติโก มาดริดนั้นมักจะเป็นกลุ่มชนชั้นแรงงานซะมากกว่าที่ให้การสนับสนุน ทั้งสองทีมพบกันครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ปี 1929 ในเกมส์ลา ลีกาที่สนามเอสตาดิโอ ชาร์มาตินสนามเหย้าอันเก่าของทีมราชันชุดขาว โดยการพบกันครั้งแรกของทั้งเรอัล มาดริดและแอตเลติโก มาดริดนั้นจบลงด้วยชัยชนะของทีมโลส บลังโกสที่เอาชนะไปได้ 2-1 ทั้งสองทีมต่างก็ผลัดกันแพ้ชนะกันอยู่ตลอดเวลาถึงกระนั้นก็มีสถิติที่ทั้งสองทีมทำร่วมกันนั่นก็คือทั้งสองทีมเป็นทีมร่วมเมืองสองทีมแรกที่เป็นคู่ชิงชนะเลิศรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเมื่อฤดูกาล 2013-14 ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของเรอัล มาดริดด้วยสกอร์ 4-1 ก่อนที่ทั้งคู่จะพบกันอีกครั้งในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาล 2015-16 ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของทีมราชันชุดขาวเหมือนเดิม ทั้งสองทีมพบกันทั้งหมด 221 นัดในทุกรายการและเป็นทางเรอัล มาดริดที่เก็บชัยชนะได้ถึง 109 นัดส่วนแอตเลติโก มาดริดเอาชนะได้เพียง 56 นัดและจบลงด้วยผลเสมออีก 56 นัด(ข้อมูลถึงเดือนมกราคมปี 2019)

เรอัล มาดริด เจอ แอธเลติก บิลเบา

แอธเลติก บิลเบา ความเป็นอริของทั้งคู่เริ่มขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 หลังจากที่ทั้งสองทีมต่างครองความเป็นเจ้าของสเปนกันเสียส่วนใหญ่พวกเขาเจอกันในรอบชิงชนะเลิศโกปา เดล เรย์ถึง 9 ครั้งในช่วงต้นทศวรรษที่ 20 การพบกันของทั้งคู่มากถึงขนาดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสเปนเป็นรองเพียงศึกเอล กลาซิโก้ระหว่างเรอัล มาดริดกับบาร์เซโลน่า ในส่วนของการพบกันระหว่างเรอัล มาดริดกับแอธเลติก บิลเบานั้นบรรดาแฟนบอลสเปนจะเรียกว่าเป็นศึก “เอล วีเอโฆ กลาซิโก้” (ข้อมูลถึงเดือนมกราคมปี 2019)

เรอัล มาดริด เจอ บาเยิร์น มิวนิค

บาเยิร์น มิวนิค ยักษ์ใหญ่จากบุนเดสลีกาทีมนี้เป็นคู่ปรับของเรอัล มาดริดในเวทียุโรปตั้งแต่สมัยที่ยังใช้ชื่อรายการว่ายูโรเปี้ยน คัพจนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในปัจจุบันโดยเรอัล มาดริดคว้าแชมป์รายการใหญ่สุดของยุโรปได้ทั้งสิ้น 13 สมัยในขณะที่ทีมบาเยิร์น มิวนิคคว้ามาครองได้ทั้งหมด 5 สมัยอย่างไรก็ตามทั้งคู่ต่างก็ไม่เคยพบกันในรอบชิงชนะเลิศแม้แต่ครั้งเดียวถึงอย่างนั้นทั้งคู่ต่างก็ถือว่าถูกจับคู่มาพบกันบ่อยที่สุดในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก(รวมยูโรเปี้ยน คัพ)โดยเจอกันทั้งหมด 26 นัดซึ่งเป็นเรอัล มาดริดที่เอาชนะไปได้ 12 ครั้งในขณะที่บาเยิร์น มิวนิคเอาชนะไปได้ 11 ครั้งและจบลงด้วยผลเสมอ 3 ครั้ง โดยการเจอกันครั้งล่าสุดในรายการยุโรปคือในรอบก่อนรองชนะเลิศฤดูกาล 2016-17 นัดแรกเป็นทางเรอัล มาดริดที่บุกไปเอาชนะบาเยิร์น มิวนิคได้ถึงประเทศเยอรมนีด้วยสกอร์ 2-1 ก่อนที่นัดที่สองเรอัล มาดริดจะเอาชนะได้ 4-2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษรวมผลสองนัดเรอัล มาดริดผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศด้วยสกอร์รวม 6-3 นอกจากนี้ทั้งสองทีมก็ยังเคยมีผู้เล่นที่เคยลงเล่นให้กับทั้งสองทีมด้วย ได้แก่ อาร์เยน ร็อบเบน,ชาบี อลอนโซ่,โทนี่ โครส และฮาเมส โรดริเกซ(ข้อมูลถึงเดือนมกราคมปี 2019)

เรอัล มาดริด เจอ ยูเวนตุส

ยูเวนตุส ทีมดังจากแดนมะกะโรนีเป็นอีกทีมที่มักจะเจอกับเรอัล มาดริดในเกมส์ยุโรปอยู่บ่อยๆโดยทั้งสองทีมลงเล่นพบกันในรายการยุโรปอย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก(รวมยูโรเปี้ยน คัพ)ทั้งหมด 21 นัดเป็นทางฝั่งเรอัล มาดริดที่เก็บชัยชนะจากการพบกัน 10 ขณะที่ยูเวนตุสเอาชนะไปได้ 9 นัดและจบที่ผลเสมออีก 2 นัด นัดแรกที่ทั้งสองทีมพบกันคือเกมส์รอบก่อนรองชนะเลิศรายการยูโรเปี้ยน คัพในฤดูกาล 1961-62 ซึ่งผลการแข่งขันก็เป็นเรอัล มาดริดที่บุกไปเอาชนะยูเวนตุสด้วยสกอร์ 1-0 ส่วนการพบกันครั้งล่าสุดคือการพบกันในรอบก่อนรองชนะเลิศฤดูกาล 2017-18 ซึ่งเป็นทางทีมราชันชุดขาวที่ผ่านเข้ารอบต่อไปได้ด้วยการรวมผลสองนัดเอาชนะทีมดังจากลีกอิตาลีไปได้ 4-3 โดยนัดแรกเป็นทางเรอัล มาดริดบุกไปเอาชนะถึงตูรินได้ถึง 3-0 ก่อนที่ในนัดที่สองยูเวนตุสจะบุกมายัดเยียดความปราชัยให้กับเรอัล มาดริดด้วยสกอร์ 3-1 ทั้งสองทีมก็ยังเคยมีผู้เล่นที่เคยลงเล่นให้กับทั้งสองทีมด้วย ได้แก่ หลุยส์ เดล โซล,ไมเคิล เลาดรู๊ป,โรเบิร์ต ยาร์นี่,ฟาบิโอ คันนาวาโร่,เอเมมอร์สัน และล่าสุดคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่เพิ่งย้ายออกจากเรอัล มาดริดไปร่วมทีมยูเวนตุสด้วยค่าตัวมากถึง 100 ล้านยูโร(ข้อมูลถึงเดือนมกราคมปี 2019)

เรอัล มาดริด ฟลอเรนติโน่ เปเรซ

ภายใต้การเข้ามาบริหารงานของฟลอเรนติโน่ เปเรซ ในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานสโมสรครั้งแรก(ค.ศ.2000-2006) เรอัล มาดริดก็ตั้งเป้าที่จะเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ซึ่งในครั้งนั้นเปเรซได้ขายสิ่งทรัพย์สินบางอย่างของสโมสรออกไปเพื่อที่จะทำให้หนี้ของสโมสรหายไปเพื่อที่จะสามารถนำเงินไปซื้อตัวเริ่มแผนการกาลาคติกอส ไม่ว่าจะเป็นซีเนดีน ซีดาน,หลุยส์ ฟิโก้,โรนัลโด้ และ เดวิด เบ็คแฮมอย่างไรก็ตามการกระทำดังกล่าวก็ทำให้คณะกรรมาธิการยุโรปได้ลงมาตรวจสอบถึงการใช้จ่ายด้วยเม็ดเงินจำนวนมากของเรอัล มาดริด เป็นระยะเวลานานหลายปีที่เรอัล มาดริดติดท็อป 3 สโมสรฟุตบอลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกโดยในปี 2018 มีการประมาณการว่าเรอัล มาดริดมีมูลค่าทีมสูงถึง 3.47 พันล้านยูโร(ประมาณ 4.1 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ)

เรอัล มาดริด ทีวี

เรอัล มาดริด มีหนังเชิงอัตประวัติของสโมสรโดยมีชื่อว่า “Real, The Movie” ซึ่งเป็นการติดตามเรื่องราวของแฟนบอลทั้งหมด 5 เรื่องจากทั่วโลกซึ่งมีการถ่ายกิจวัตรประจำวันทั้งการซ้อม บรรยากาศในห้องแต่งตัวของทีม การให้สัมภาษณ์ซึ่งจะเน้นไปที่บรรดาผู้เล่นชุดกาลาคติกอสเป็นหลักอย่างเช่น เดวิด เบ็คแฮม,ซีเนดีน ซีดาน,ราอูล กอนซาเลซ,หลุยส์ ฟิโก้,โรนัลโด้,อิเกร์ กาซิยาส และโรแบร์โต้ คาร์ลอส นอกจากนี้เรอัล มาดริด เป็นสโมสรที่สองที่ถูกฟีฟ่านำมาสร้างหนังเกี่ยวกับสโมสรฟุตบอลเมื่อปี 2007 โดยมีชื่อเรื่องว่า “Goal! 2: Living the Dream” โดยเนื้อหาของหนังจะพูดถึงซานติอาโก้ มูเนซ อดีตผู้เล่นตัวเก่งของนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดที่ได้ย้ายมาร่วมทีมเรอัล มาดริด ในฤดูกาล 2005-06 ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้เล่นของทีมราชันชุดขาวนั้นเต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ซึ่งก็บรรดาผู้เล่นของทีมนั้นก็ต่างปรากฎอยู่ในหนังไม่ว่าจะเป็นอิเกร์ กาซิยาส,ซีเนดีน ซีดาน,เดวิด เบ็คแฮม,โรนัลโด้,โรแบร์โต้ คาร์ลอส,ราอูล กอนซาเลซ,เซร์คิโอ รามอส,โรบินโญ่,ไมเคิล โอเว่น,มิเชล ซัลกาโด้,ชูลิโอ บาปติสต้า,สตีฟ แม็คมานามาน และอีวาน เอลเกร่า นอกจากนี้ทางสโมสรยังได้มีการจัดพิมพ์หนังสือฉลองการก่อตั้งสโมสรครบ 100 ปีในชื่อ “White Storm : 100 years of Real Madrid” ซึ่งถือเป็นหนังสือเล่มแรกที่ทางสโมสรตีพิมพ์ออกมาเป็นภาษาอังกฤษโดยจัดจำหน่ายในปี 2002 หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงช่วงเวลาความสำเร็จของสโมสรตลอดระยะเวลา 100 ปีแรกซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากมีการแปลเป็นภาษาอื่นๆอย่างหลากหลายและเมื่อเร็วๆนี้เอง เรอัล มาดริด ก็เพิ่งที่จะทำช่องโทรทัศน์เป็นของตัวเองในชื่อ “Real Madrid TV” ซึ่งดำเนินรายการโดยทางสโมสรซึ่งผู้รับชมสามารถรับชมได้ทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาสเปน นอกจากนี้ก็ยังมีกรจัดพิมพ์นิตยสารรายไตรมาสขึ้นมาเพื่อแจกให้กับบรรดาสมาชิกของสโมสรรวมไปถึงผู้ถือคลับการ์ดของสโมสร ในชื่อนิตยสาร “Hala Madrid” โดยนิตยสารนี้จะเขียนถึงรายงานเกี่ยวกับการแข่งขันในทุกๆนัดของสโมสรในช่วงเดือนก่อนๆ,ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับทีมสำรองและทีมเยาวชนของสโมสรรวมไปถึงบทสัมภาษณ์ผู้เล่นทั้งในอดีตและปัจจุบันของสโมสร นอกจากนี้ผู้เล่นเรอัล มาดริดยังเคยถูกนำไปเป็นรูปปกเกมส์ที่เกี่ยวกับฟุตบอลอย่าง เกมส์ฟีฟ่า(FIFA) และ เกมส์โปร เอโวลูชั่น ซอคเกอร์(Pro Evolution Soccer : PES) โดยมีผู้เล่นของเรอัล มาดริดขึ้นปกของเกมส์ทั้ง 2 เกมส์รวมกันกว่า 7 ครั้ง

เรอัล มาดริด แชมป์ลาลีก้า

ความสำเร็จของสโมสร (ข้อมูลถึงเดือนมกราคม ปี 2019)
ระดับภายในประเทศ
แชมป์ลีก
-ลา ลีกา (33 สมัย)
1931-32,1932-33,1953-54,1954-55,1956-57,1957-58,1960-61,1961-62,1962-63,
1963-64,1964-65,1966-67,1967-68,1968-69,1971-72,1974-75,1975-76,1977-78,
1978-79,1979-80,1985-86,1986-87,1987-88,1988-89,1989-90,1994-95,1996-97,
2000-01,2002-03,2006-07,2007-08,2011-12,2016-17

เรอัล มาดริด โกปา เดล เรย์

แชมป์รายการถ้วย
โกปา เดล เรย์ (19 สมัย)
1904-05,1905-06,1906-07,1907-08,1916-17,1933-34,1935-36,1945-46,1946-47,
1961-62,1969-70,1973-74,1974-75,1979-80,1981-82,1988-89,1992-93,2010-11,2013-14
สแปนิช ซูเปอร์ คัพ (10 สมัย)
1988,1989,1990,1993,1997,2001,2003,2008,2012,2017
-โกปา เอบา ดัวร์เต (1 สมัย)
1947
-โกปา เด ลา ลีกา (1 สมัย)
1985

เรอัล มาดริด ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก

ระดับยุโรป
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก(รวมสมัยยูโรเปี้ยน คัพ) (13 สมัย)
1955-56,1956-57,1957-58,1958-59,1959-60,1965-66,1997-98,1999-2000,2001-02,
2013-14,2015-16,2016-17,2017-18
ยูฟ่า คัพ (2 สมัย)
1984-85,1985-86
ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ (4 สมัย)
2002,2014,2016,2017

เรอัล มาดริด ชิงแชมป์สโมสรโลก

ระดับโลก
อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ (3 สมัย)
1960,1998,2002
ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ(ชิงแชมป์สโมสรโลก) (4 สมัย)
2014,2016,2017,2018