เรื่องลึกแต่ไม่ลับ วงการลูกหนังระดับโลก

ความชอบในเรื่องถ่ายรูปของ เคร็ก จอห์นสตัน

ความชอบในเรื่องถ่ายรูปของ เคร็ก จอห์นสตัน

ในสมัยที่ตัวของ เคร็ก จอห์นสตัน ตำนานลูกหนังชาวออสเตรเลียของ ลิเวอร์พูล ยังค้าแข้งอยู่นั้น เจ้าตัวมีงานอดิเรกที่เพื่อนร่วมทีมต่างก็รู้กันดีว่าเขาชอบมากนั่นก็คือ “การเป็นช่างภาพ” ตัวของ จอห์นสตัน เป็นคนที่ชื่นชอบเรื่องการถ่ายรูปมาก วันหยุด วันว่าง เป็นต้องมีการพกกล้องฟิล์มในสมัยนั้นไปถ่ายภาพยังที่ต่างๆ รวมถึงการถ่ายภาพบรรยากาศในทีมอีกด้วย จะเรียกว่า จอห์นสตัน เป็นช่างภาพประจำสโมสรอีกไปทางหนึ่งก็มิปานเลยทีเดียว

และนอกจากนี้ จอห์นสตัน ยังมีภาพของนักเตะ ลิเวอร์พูล รุ่นนั้นในหลายๆอิริยาบถ ในแบบที่นักข่าวกีฬา ช่างภาพข่าวกีฬา ไม่มีอยู่ในคลังรูปภาพอยู่หลายแบบเลยทีเดียว อีกทั้งในช่วงเวลาดังกล่าว จอห์นสตัน ยังเปิดร้านอัดรูป ที่มีบริการทั้งถ่ายภาพ ล้างรูป อัดรูปแบบครบวงจรตั้งอยู่ในในเมือง ลิเวอร์พูล จนกลายเป็นกิจการของเขาตั้งแต่นั้นมาเลยทีเดียว

บิดาแห่งรองเท้าสตั๊ด “พรีเดเตอร์”

งานอดิเรกของ จอห์นสตัน ยังไม่หมดเพียงเท่านี้จริงๆ เพราะก่อนหน้านี้นั้นเราได้พูดถึงเรื่องความสามารถในการถ่ายภาพของเขาไปแล้ว แต่ตอนนี้เราจะมาดูชีวิตหลังจากแขวนสตั๊ดกันบ้าง เพราะความที่อดีตกองกลางรายนี้ มีความครีเอตในตัวเองระดับที่สูงมากนั่นเอง ทำให้เขาได้รับโอกาสสำคัญจากทาง Adidas แบรนด์กีฬาชื่อดังในการ “ออกแบบ” รองเท้าสตั๊ดรุ่นใหม่ที่จะใช้แข่งขันในช่วงตั้งแต่ปลายยุค 90 เป็นต้นไป มันคือรองเท้าสตั๊ดที่มีชื่อรุ่นว่า Adidas Predator

ซึ่งแน่นอนว่าจากผลงานการออกแบบของอดีตจอมทัพลิเวอร์พูลรายนี้ มันทำให้รองเท้าสตั๊ดรุ่นดังกล่าว ปังสุดๆ ฮิตมาก ยอดขายถล่มทลาย และแน่นอนว่ายอดนักเตะรุ่นหลังจากเขานั้นชื่นชอบมากและนำมาใส่กันเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นรายของ ซีเนอดีน ซีดาน , รุย คอสต้า , อเลสซานโดร เดล ปิเอโร , เดวิด เบคแฮม พวกนี้ล้วนแล้วแต่ใส่สตั๊ดสไตล์ Predator ที่ตัวของจอห์นสตัน เป็นคนออกแบบด้วยกันทั้งนั้นเลยทีเดียว

มิตรภาพที่ไม่มีวันเปลี่ยน สตอยช์คอฟ-โรมาริโอ

สองกองหน้าระดับตำนานของบาร์เซโลนาอย่าง ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ และ โรมาริโอ พวกเขามีนิสัยคล้ายๆกันคือมีความติสต์ๆเหมือนกัน อัจฉริยะเหมือนกัน ยิงคมเช่นกัน ไปกับบอลได้ดีแม้ว่าจะมีรูปร่างเล็ก แต่ก็แข็งแกร่ง ซึ่งมันอาจจะมีบ้างที่พวกเขาทะเลาะกันตอนอยู่ในสนาม แต่หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาไปนาน โรมาริโอ และ สตอยช์คอฟ ที่เป็นผู้ใหญ่เลยวัยกลางคนไปแล้วก็กลับมาเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเดิม

และแน่นอนว่า สิ่งที่สตอยช์คอฟทำให้โรมาริโอประทับใจคือ การที่ตำนานดาวยิงบัลแกเรียน รับลูกสาวของโรมาริโอที่ป่วยเป็นออทิสติก เป็นลูกบุญธรรมของเขาด้วยนั่นเอง

อังกฤษรู้ทางมาราโดนาชัดเจนแล้ว

หลังจากที่การแข่งขันฟุตบอลโลก 1986 จบลงไป ชัยชนะของทีมชาติอาร์เจนตินาก็คือการได้แชมป์โลก 1986 ด้วยการปราบเยอรมันตะวันตกลงได้ในนัดชิงชนะเลิศ แต่สิ่งที่ทำให้แฟนบอลทั่วโลกจดจำมากที่สุดมันกลับเป็นการแข่งขันในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่อังกฤษเจอกับอาร์เจนตินามากกว่า เพราะในเกมดังกล่าว ดิเอโก้ มาราโดนา ทำประตูคนเดียว 2 ลูกจากจังหวะการยิงประตูที่เข้าขั้นว่า “เกรียน และ เทพ” ในเวลาเดียวกัน

ลูกแรกนั้นมันคือการที่ มาราโดนา อาศัยรูปร่างเตี้ยๆของเขา ลอยตัวเอาแขนซ้ายชกบอลเข้าประตูไป ซึ่งทำให้นักเตะอังกฤษช่วยกันรุมประท้วงว่ามาราโดนาแฮนด์บอลชัดๆ แต่ว่าผู้ตัดสินในเกมดังกล่าวที่เป็นชาวตูนิเซีย ก็ไม่ได้คิดจะให้ฟาล์ว ก็ยังคงยืนยันว่าจังหวะดังกล่าวเป็นประตูอยู่ดี

แต่ว่าในประตูที่ 2 มาราโดนาจัดการลากบอลโซโล่เดี่ยวจากครึ่งสนาม หลบนักเตะอังกฤษถึง 6 คน และยังเลี้ยงบอลหลบปีเตอร์ ชิลตัน ผู้รักษาประตูของทีมชาติอังกฤษไปได้อย่างเนียนๆก่อนจะแปด้วยซ้ายข้างถนัดโล่งๆเข้าไปแบบสบายๆ เป็นประตูที่สวยงามที่สุดในศตวรรษเลยทีเดียว

แต่ว่าในอีก 1 ปีต่อมานั้น ทีมชาติอังกฤษ มีโอกาสเปิดเวมบลีย์รับการมาเยือนของทีมชาติอาร์เจนตินาในเกมนัดอุ่นเครื่อง แน่นอนว่ามาราโดนา คาดปลอกแขนนำทัพมาด้วย แต่ในเกมนี้ เกมมันเสมอกันไป และสิ่งที่มาราโดนาทำในสนามก็เหมือนกับในทัวร์นาเมนต์ปี 86 นั่นก็คือการพยายามลากโซโล่จากกลางสนามอีกครั้ง แต่นักเตะอังกฤษนั้น รู้ซึ้งดีถึงจังหวะการเล่นแบบนี้ของมาราโดนาแล้ว พวกเขาช่วยกันซ้อนและทำให้มาราโดนา เลี้ยงเดี่ยวไปทำประตูแบบเดิมไม่ได้อีกเลยนั่นเอง

การเปลี่ยนตำแหน่งครั้งสำคัญของ เอ็นโซ ฟรานเชสโกลี

ยอดนักเตะระดับตำนานหลายคนมักจะเคยผ่านเรื่องราวต่างๆที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงมาก็มาก อย่างเช่นตัวของ เอ็นโซ ฟรานเชสาโกลี ตำนานจอมทัพทีมชาติอุรุกวัยรายนี้ก็ด้วย

ในสมัยที่เขาเป็นนักเตะดาวรุ่ง เขาเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ แต่ว่าเพราะความที่เจ้าตัว ไมได้มีความเร็วอะไรมาก ทำให้เจ้าตัวตกเป็นบ่อน้ำมันในแดนกลาง และยังเล่นไม่ได้เรื่องจนแฟนบอลรุมไม่ชอบ และยังสนับสนุนให้นักเตะฝั่งตรงข้ามเก็บเขาเลยทีเดียว

แต่จุดเปลี่ยนก็มาถึง เมื่อโค้ชของทีมได้ลองจับเอา ฟรานเชสโกลี ไปเล่นในโซนพื้นที่ 30 หลาก่อนถึงเขตโทษ ซึ่งเป็นพื้นที่ของนักเตะสไตล์เบอร์ 10 เป็นคนทำเกมรุก และนั่นเองก็คือจุดเปลี่ยนจากนักเตะที่แฟนบอลรังเกียจ มาเป็น “โคตรตำนานเพลย์เมกเกอร์สไตล์หน้าต่ำที่เก่งที่สุด” อีกคนหนึ่งของวงการฟุตบอลอุรุกวัยเลยทีเดียว

ชีวิตในโรงงานไส้กรอกของ คริส วอดเดิ้ล

นักเตะระดับโลกหลายๆคนนั้น มักจะมีสตอรี่ที่น่าสนใจกันหลายคนเลยทีเดียว แม้แต่ว่านักเตะที่ได้ชื่อว่ามีเท้าซ้ายแสนฉมังอย่าง คริส วอดเดิ้ล ตำนานปีกจอมเทคนิคแห่งทีมชาติอังกฤษรายนี้ก็ด้วยเช่นกัน เพราะในสมัยที่ก่อนที่เขาจะเป็นยอดนักเตะระดับโลกนั้น เขาเคยผ่านช่วงเวลาที่ตกต่ำมาก่อน แถมยังไม่ได้เป็นนักเตะระดับเยาวชนของสโมสรแห่งไหนมาก่อนด้วย ต้องผ่านการเล่นฟุตบอลในระดับสมัครเล่น หรือเล่นบอลพาร์ทไทม์ เพราะยังไงซะตอนนั้น เจ้าตัวยังไม่ได้รับสัญญาอาชีพจากไหนเลยจริงๆ

ในวัย 20 ปีของนักเตะชื่อดังหลายๆคนนั้น พวกเขามักจะต้องเป็นนักเตะระดับดาวรุ่งที่ใกล้จะได้แจ้งเกิดกับทีมสังกัดของตัวเอง หรือจ่อจะเลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นนักเตะตัวจริงของระดับทีมชุดแรกแล้ว บางคนก็แจ้งเกิดกับทีมชุดใหญ่ไปแล้ว ติดทีมชาติไปหลายชุดแล้วด้วย แต่สิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับ วอดเดิ้ลในวัย 20 ปีเลยทีเดียว

ในวัย 20 ปีของวอดเดิ้ล เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นพนักงานในโรงงานทำไส้กรอกต่างหาก เพื่อทำงานเป็นอาชีพหลักไว้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และอาศัยการเตะบอลเป็นอาชีพเสริมไปด้วย แต่อย่างน้อย คนที่มันเป็นเพชรก็คือเพชรวันยังค่ำ เขาได้รับการจับตามมองจากแมวองของสโมสร “สาลิกาดง” นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ที่มาดึงตัวของเขาไปทดสอบฝีเท้ากับทีมนิวคาสเซิล และสุดท้ายนั้น วอดเดิ้ล ก็ได้พลิกชีวิตด้วยการผันตัวเองจากการเป็นพนักงานโรงงานทำไส้กรอกมาเป็น “ปีกตัวฉกาจ” ของนิวคาสเซิลเป็นการเริ่มต้น

เพราะพ่อ เลยผันตัวมาเป็นนักบอลอาชีพของ โกปา

กลับไปที่เรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจของครอบครัวอพยพจากโปแลนด์ นั่นคือครอบครัว “โกปาเชฟสกี้” พวกเขาทำงานเป็นคนงานในเหมืองแห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส และครอบครัวนี้ มีลูกชายอยู่คนหนึ่งที่ชื่อว่า “เรย์มงด์” เด็กคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถในเรื่องลูกหนังที่โดดเด่นมาตั้งแต่วัยเด็กเลยทีเดียว

แต่ว่าสิ่งที่ เรย์มงด์ คิดมาตลอดตั้งแต่เด็กนั้น มันไม่ใช่การเล่นฟุตบอลอาชีพ แต่เขามองว่าเขาอยากที่จะได้รับโอกาสในการทำงานในเหมือง แบบที่พ่อของเขาทำมากกว่า

แต่แล้ววันหนึ่ง มันมีบางสิ่งเกิดขึ้น นั่นคือพ่อของเขาได้รับบาดเจ็บจากการทำงานในเหมืองที่แขน ซึ่งจากเหตุนั้นเอง มันเลยทำให้พ่อของเรย์มงด์ ตัดสินใจที่จะพูดกับลูกชายว่า ไม่ให้เขาเดินบนเส้นทางเดียวกับเขา ลืมเรื่องการที่จะมาทำงานในเหมืองไปซะ และมุ่งหน้าทำในสิ่งที่ดีกว่านั้น และสุดท้าย เรย์มงด์ ก็ได้หันเหไปฝึกฝนฝีเท้าในการจะเป็น “นักฟุตบอลอาชีพ” อย่างเต็มตัว

จากการฝึกฝนฝีเท้าอย่างหนัก ทำให้ เรย์มงด์ กลายเป็นสตาร์ดาวรุ่งของสโมสรแรนส์ และเขาก็สามารถสร้างชื่อด้วยการเป็นโคตรตัวรุกของทีมชาติฝรั่งเศสและสโมสรแรนส์ ถึงขั้นได้แชมป์ลีกเอิง และเป็นรองแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ ซึ่งทีมที่พวกเขาพ่ายแพ้ให้ในรอบชิงชนะเลิศ ก็คือทีม “ราชันย์ชุดขาว” เรอัล มาดริด ว่าที่สโมสรในอนาคตของ เรย์มงด์ นั่นเอง

เมื่อย้ายไปเล่นในลาลีกา เรย์มงด์ โกปา ก็สถาปนาตัวเองให้กลายเป็นเพลย์เมกเกอร์ชั้นอ๋องของทีม และยังได้บัลลงดอร์ไปนอนกอดอีกด้วย

อังกฤษรู้ทางมาราโดนาชัดเจนแล้ว

อย่ามาดูถูกตรู ถ้าไม่อยากโดนเท้าซ้ายพิฆาตของ ปุสกัส !

เราจะมาดูเกมอุ่นเครื่องอันเป็นตำนานที่จะทำให้แฟนบอลและนักเตะอังกฤษจดจำทีมชาติฮังการีไปจนวันตายเลยทีเดียว โดยในเกมการแข่งขันครั้งนี้ได้แข่งขันกันที่ประเทศอังกฤษ ในเวลานั้น มันกำลังเป็นช่วงที่ทีมชาติฮังการีเริ่มกลายมาเป็นมหาอำนาจลูกหนังในยุโรปแล้วด้วย ส่วนอังกฤษเองก็เป็นทีมชาติชั้นนำที่ไม่เคยมีผลงานอะไรที่สามารถจับต้องได้ในระดับโลก แต่พวกเขาก็สร้างชื่อเสียงขึ้นมาพอสมควร

ในการแข่งขันนัดนี้ พวกเขาได้เจอกับทีมชาติฮังการี ที่ขนโคตรนักเตะตัวรุกหลายคน มาเล่นในเกมการแข่งขันนัดนี้ ไม่ว่าจะเป็น ซานโดร ค็อกซิส , นานดอร์ ไฮเดคกูตี , โซลตัน ซิบอร์ และอีกหลายๆคน อ้อ ขาดไมได้กับตัวของ เฟเรนซ์ ปุสกัส กัปตันทีมหมายเลข 10 ที่ได้ลงเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวทางซ้าย

ในเกมนี้ นักเตะอังกฤษหลายคนโดยเฉพาะกับ บิลลี่ ไรท์ กองหลังกัปตันทีมชาติอังกฤษชุดนั้น ถึงกับแอบขำกับเพื่อนเลยทีเดียว ถึงเรื่องของรองเท้าเอย รูปร่างเอยของนักเตะฮังการี โดยมีการสบประมาทว่านักเตะฮังการียังหาอุปกรณ์ในการเล่นฟุตบอลให้ได้มาตรฐานไมได้เลย

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นน่ะเหรอ เหมือนเป็นการกระตุกหนวดเสือของฮังการีอย่างชัดเจน เพราะเมื่อเริ่มคิ๊กออฟนั้น ขนพล “เมจิก แมกยาร์” จัดการต่อบอลสั้นสุดเหนือชั้น และยังสลับตำแหน่งกันสนุกสนานจนนักเตะอังกฤษจับทางไม่ได้เลยทีเดียว แถมยังทะลวงอังกฤษซะเละเทะในเกมนี้ถึง 6-3

โดยเฉพาะกับ ปุสกัส เขาจัดการดึงบอลหลอก บิลลี่ ไรท์ ที่เป็นกองหลังชั้นครู ให้จั่วบอลวืด และจากนั้นก็ซัดด้วยเท้าซ้ายทรงพลังเต็มแรงในเขตโทษ ส่งบอลพุ่งเป็นจรวดแสกหน้า กิล เมอร์ริค ผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษชุดนั้นเข้าไปอย่างสุดสวยเลยทีเดียว

โบยาน กับ เมสซี่ เป็นดองกันทางสายเลือดของทวด

เคยมีคนที่พูดถึงหน้าตาของ ลิโอเนล เมสซี่ สตาร์จอมทัพทีมชาติอาร์เจนตินาของบาร์เซโลนา กับตัวของ โบยาน เกร์คิช กองหน้าลูกครึ่งสแปนิช-เซอร์เบียของสโมสรสโต๊ค ซิตี้ ที่ครั้งหนึ่งนั้นเคยเป็นแข้งดาวรุ่งชื่อดังของบาร์เซโลนา ว่าทำไมสองคนนี้ถึงมีหน้าตาที่ดูคล้ายคลึงกัน ทั้งๆที่เชื้อชาติและถิ่นฐานบ้านเกิดนั้นก็ดูไม่น่าจะเป็นคนบ้านเดียวกัน

แต่มันมีเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างมากเกี่ยวกับสายเลือดของ เมสซี่ และ โบยาน ที่บังเอิญว่า “มีอะไรที่เหมือนกันอยู่”

โบยาน เกร์คิช มีนามสกุลสเปนตามชื่อคุณแม่ของเขาคือ “เปเรซ” ซึ่งมีพื้นเพของตระกูลอยู่ที่ว่าคาตาลุนญา และตระกูลเปเรซนี้นั้น มีลูกชายสองคนด้วยกันคือ “รามอน เปเรซ” กับตัวของ “ฆอนกาล เปเรซ” และสองคนนี้เป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา ก่อนที่ในหลายปีหลังจากนั้นมา รามอน ก็มีหลานสาวคือ “โรซ่า มาเรีย เปเรซ” และ โรซ่า ก็ได้ย้ายถิ่นฐานไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอาร์เจนตินา และพบรักกับ ยูเซบิโอ เมสซี่ ซึ่งต่อมาสองคนนี้ได้แต่งงานกัน แล้วก็ได้กลายเป็น “คุณปู่และคุณย่า” ของลิโอเนล เมสซี่ นั่นเอง

และทางด้านของ ฆอนกาล เปเรซ เขาก็แต่งงานมีครอบครัวเช่นกัน แล้วก็ได้กลายเป็นต้นตระกูลของคุณแม่ของโบยานนั่นเอง เรียกได้ว่า ทั้งโบยาน และ เมสซี่ เป็นญาติกันทางสายเลือดจากคุณปู่ทวดของพวกเขานั่นเอง

นักเตะที่มาราโดนาเกลียดที่สุดในชีวิต

ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเตะที่ชื่อว่า ดิเอโก้ มาราโดนา นักเตะรายนี้มีวีรกรรมทั้งในเรื่องดีและแย่ในตัวคนๆเดียวกันได้ มันไม่ใช่เรื่องแปลก และตลอดเวลาที่เขาอยู่ในวงการฟุตบอล เขาเองก็สร้างศัตรูและความบาดหมางเอาไว้กับคนนั้นคนนี้อย่างมากมายเลยทีเดียว บางคนก็เล็กน้อย บางคนก็มากหน่อย แต่ทว่ามันมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ว่ายังไงชาตินี้ คนอย่างมาราโดนา ก็ไม่มีวันให้อภัยหรือเผาผีอย่างแน่นอน และคนที่ว่านี้ก็คือ “ดิเอโก้ ลาตอร์เร่” อดีตตำนานกองหน้าของโบคา จูเนียร์

ตัวของ ลาตอร์เร เป็นยอดดาวยิงสไตล์หน้าต่ำที่สามารถทำเกมรุกเองได้ ยิงได้ จ่ายได้ เลี้ยงบอลดี เทคนิคแพรวพราว และเขายังได้รับการยกย่องว่าจะเป็น “นิวมาราโดนา” อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเคยค้าแข้งให้กับโบคา จูเนียร์ อันเป็นทีมที่มาราโดนาสร้างชื่อเสียงขึ้นมาอีกด้วย

ว่าแต่ทำไม “นิวมาราโดนา” รายนี้ถึงโดน “มาราโดนาตัวจริง” เกลียดเข้าให้ซะแบบนั้น มันก็เริ่มจากการที่ว่า มาราโดนา มีข่าวว่าเสพและพี่โคเคนอย่างหนักจนเป็นข่าวใหญ่โตนั่นเอง

อาการติดยาของ มาราโดนา ทำให้คนที่เกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลาง ค่อนไปทางสูงด้วยซ้ำอย่าง ลาตอร์เร ที่ผู้ดีกว่ามาราโดนาถึงกับบอกว่า

“ในขณะที่ผมเห็นด้านดีของมาราโดนาในสนามบอล ผมก็เห็นด้านมืดและด้านที่แย่ๆของมาราโดนาด้วยเช่นกัน เขาเสพยา เขาทำตัวไร้ค่า”

ด้วยประโยคเด็ดนี้นั่นเอง มันถึงขั้นทำให้ มาราโดนา โกรธแค้นลาตอร์เร มาจนถึงทุกวันนี้เลยทีเดียว และทุกครั้งที่มีการถามถึงลาตอร์เร สิ่งที่มาราโดนาพูดตอบกลับก็คือ “ผมจะถีบไอ้นี่ให้คว่ำถ้าเจอกัน”

ที่มาของชื่อ “เบเบโต้” เพราะชอบยิง “เบิ้ล”

แฟนบอลทีมชาติบราซิลที่เคยติดตามการแข่งขันฟุตบอลโลก 1994 ที่บราซิลคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 มาครองได้นั้น น่าจะจดจำการเล่นของสองคู่หูกองหน้าไร้เทียมทานอย่าง โรมาริโอ – เบเบโต้ กันได้แน่นอน ทั้งคู่เป็นกองหน้าร่างเล็ก แต่ว่าเทคนิคแพรวพราวด้วยกันทั้งคู่ แถมทั้งคู่ยังเล่นเข้าขากันและสนิทกันมากๆอีกด้วย ว่าแต่ทำไม เราถึงต้องมาลองสนใจในสิ่งที่ เบเบโต้ ได้เจอมา

อันที่จริงนั้น “เบเบโต้” เป็นเพียงชื่อเล่นของกองหน้ารายนี้ซะด้วยซ้ำ โดยเขาได้กล่าวถึงชีวิตในวัยเด็กของเขาว่า

“ตอนสมัยเด็กๆ ผมมีชื่อเล่นว่า เบโต้ ไม่ใช่เบเบโต้”

“แต่เพราะว่าผมเวลาเล่นฟุตบอลกับเพื่อน ผมยิงประตูได้เสมอ และไม่ใช่ว่ายิงแค่ลูกเดียวในแต่ละวัน ผมชอบยิงมากกว่า 1 ยิงเบิ้ลได้เสมอ เพื่อนผมเลยเรียกผมว่า เบเบโต้ ไปเลย มันเหมือนกับการเล่นฟุตบอลของผมที่ชอบยิงเบิ้ลตลอด”

และนั่นเอง มันก็ทำให้ชื่อ “เบเบโต้” กลายเป็นตำนานของวงการลูกหนังไปโดยปริยาย

ที่มาของชื่อเปเล่ที่ไม่โสภาเท่าไหร่

นักเตะระดับตำนานอย่าง เปเล่ ก็มีที่มาที่ไปของชื่อเช่นกัน โดยในวัยเด็กนั้น เปเล่ เป็นเด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน แต่เขาก็มักจะมีเรื่องกับเพื่อนๆเวลาเตะบอลด้วยเป็นประจำเพราะด้วยเรื่องของชื่อนั่นเอง

เปเล่ มีชื่อจริงในใบเกิดว่า “เอ็ดสัน อารันเตส โดส นาซิเมนโต้” โดยเปเล่กล่าวว่า เขาชอบให้เพื่อนๆเรียกเขาว่า “เอ็ดสัน” มันจะเป็นเหมือนกับชื่อของ โทมัส เอดิสัน นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องของโลก แต่เพื่อนๆกลับชอบเรียกชื่อเขาว่า “เปเล่” โดยไม่มีสาเหตุ ซึ่งทำให้เจ้าตัวโมโหถึงขั้นชกต่อยกับเพื่อนเลยทีเดียว

แต่ว่าหลังจากที่โชว์ฝีเท้าจนเหนือกว่าเพื่อนๆนั้น เปเล่ กลับชอบชื่อที่เพื่อนๆเรียกแบบนี้ จนมันกลายเป็นตำนานไปในที่สุด

ที่มาของชื่อเปเล่ที่ไม่โสภาเท่าไหร่

เนื้อหาใกล้เคียง