ผลงานปัจจุบันของ เลสเตอร์ ในยุค ร็อดเจอร์ส ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

หลังจากนั้น ร็อดเจอร์ส และ คอนเกอร์ตัน ได้ร่วมงานกัน

ในช่วงฤดูกาลปาฏิหาริย์ 2015-16 เมื่อ เลสเตอร์ ซิตี้ ท้าทายตรรกะทั้งหมด และอัตราต่อรองที่ 5,000-1 สำหรับโอกาสที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่เทพนิยายของพวกเขาก็เกิดขึ้นจริง มันเป็นความสำเร็จที่สะท้อนไปทั่วโลกว่า อะไรก็ตามสามารถเป็นไปได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พิเศษอย่างไม่ต้องสงสัย

ในซีซั่นดังกล่าว อาร์เซน่อล ซึ่งอยู่ในช่วงสุดท้ายของ อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือชาวฝรั่งเศส จบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ตามหลัง เลสเตอร์ 10 แต้ม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ จบอันดับ 3 ส่วน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ประกาศแต่งตั้ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุมทีมแทน มานูเอล เปเยกรินี่ ก่อนจบฤดูกาลนั้น ดิ้นรนด้วยการจบอันดับ 4

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่น่าเบื่อของ หลุยส์ ฟาน กัล โค้ชชาวดัตช์ จบด้วยอันดับที่ 5 ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมปีแรกของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน จบด้วยอันดับ 8 และ เชลซี ได้ไล่ โชเซ่ มูรินโญ่ เทรนเนอร์ชาวโปรตุเกส ออกจากตำแหน่งหลังทำผลงานย่ำแย่

อย่างไรก็ตาม ในปีดังกล่าว เลสเตอร์ ได้สร้างปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของวงการกีฬา และในตอนนี้เชื่อว่ามันเป็นเรื่องยากที่ใครก็ตามจะทำแบบนั้น เมื่อเทียบกับยุคปัจจุบันที่ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง

ในฤดูกาลนี้ เลสเตอร์ ภายใต้การคุมทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมชาวไอร์แลนด์เหนือ ทำได้ใกล้เคียง พวกเขามีทีมที่สมดุลมากขึ้น, ผู้เล่นเยาวชนที่น่าตื่นเต้น และสอดคล้องกับความสามารถในการเล่นระบบที่แตกต่างกัน รวมไปถึงกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งหมดของสนามเพื่อเพิ่มศักยภาพของพวกเขา

มันไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ หรือความบังเอิญที่ เลสเตอร์ อยู่อันดับที่ 3 ในตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก ในซีซั่นนี้ พวกเขามีสถิติการป้องกันที่ดีที่สุดแม้จะขาย แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กองหลังตัวเก่งให้กับ แมนฯยูไนเต็ด ด้วยราคา 80 ล้านปอนด์ ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาก็ตาม

ในฤดูดาลนี้ ผ่านไป 11 เกม เลสเตอร์ มีสถิติที่ดีกว่าปีที่พวกเขาได้แชมป์เสียอีก โดยปี 2015-1016 พลพรรค “สุนัขจิ้งจอก” เล่น 11 เกม ได้ 23 ประตู เสีย 19 ประตู ลูกได้เสียบวก 4 เก็บได้ 22 คะแนน แต่ในตอนนี้ เล่น 11 เกม ได้ 27 ประตู เสีย 8 ประตู ลูกได้เสียบวก 19 เก็บได้ 23 คะแนน

มันอาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม กุนซือที่เหมาะสมและนักเตะที่เหมาะสม ย้อนกลับไปในเดือนตุลาคม 2018 เห็นได้ชัดว่า โคล้ด ปูแอล อดีตนายใหญ่ชาวฝรั่งเศส ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดกับการคุมทีม เลสเตอร์ เต็มที

อดีตผู้จัดการทีม โมนาโก, เซาแธมป์ตัน และ ลีลล์ สูญเสียบรรยากาศในห้องแต่งตัวของ เลสเตอร์ ไปอย่างสิ้นเชิง เขาไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่หรือผู้เล่นได้อย่างเหมาะสมและตลอดทั้งฤดูกาล โค้ชเฟรนช์แมน มีความไม่แน่นอนในอนาคตของตัวเองอยู่ตลอดเวลา

หลังจากที่ ปูแอล ใกล้จะโดนปลดจากตำแหน่ง คนที่ เลสเตอร์ สนใจมากที่สุดก็คือ ร็อดเจอร์ส ซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการนำ กลาสโกว์ เซลติก ลุ้นแชมป์ที่สก็อตแลนด์ พวกเขาสอบถามถึงความสนใจของ ร็อดเจอร์ส ในช่วงกลางฤดูกาลและรอให้เขาจบภารกิจกับ “ม้าลายเขียวขาว” เสียก่อน

อย่างไรก็ตามในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไม่มีการรออีกต่อไป ปูแอล โดนไล่ออก และ ร็อดเจอร์ส ตัดสินใจโยกมาคุม เลสเตอร์ ทันที โดยทัพ “สุนัขจิ้งจอก” ยอมจ่ายค่าชดเชย 7.5 ล้านปอนด์เพื่อปลดสัญญาของเขาจาก เซลติก

เลสเตอร์ ต้องการผู้จัดการทีมที่ทันสมัย และมีประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นประวัติการณ์ของการพัฒนาผู้เล่นรุ่นใหม่ในสไตล์ฟุตบอลที่ก้าวร้าวและน่าดึงดูด รวมถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะแข่งขันกับสโมสรยักษ์ใหญ่

ร็อดเจอร์ส มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับสิ่งที่ เลสเตอร์ ต้องการ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้ถามถึงข้อสงสัยในการที่เขาเลือกจะอำลา เซลติก กลางคัน ว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่ แต่โอกาสยิ่งใหญ่แบบนี้ก็ไม่มีใครจะปฏิเสธได้

เลสเตอร์ มีความพร้อมทุกอย่างที่จะประสบความสำเร็จ แต่ต้องการผู้นำที่เหมาะสม ร็อดเจอร์ส เป็นคนนั้น แต่ช่วงเวลาของเขากับ ลิเวอร์พูล ถูกตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม เพราะมันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในอาชีพของเขาในการเข้าไปคุมทัพ “หงส์แดง”

ร็อดเจอร์ส กล่าวหลังการเข้ามาคุมทีม เลสเตอร์ ว่า “นี่เป็นโอกาสที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และผมตัดสินใจว่าจะต้องรีบทำอย่างรวดเร็ว โอกาสที่จะได้ทำงานกับสโมสรอย่าง เลสเตอร์ จะไม่รอผมแน่นอน ผมยังไม่ได้เปลี่ยนความสำเร็จเพียงชั่วข้ามคืนสำหรับคนธรรมดาอย่างผม”

จนถึงตอนนี้ ร็อดเจอร์ส ได้เติบโตขึ้นในความรับผิดชอบต่างๆ

“นี่คือสโมสรที่มีประวัติอันยาวนานของตัวเอง และประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จอย่างที่เราเคยเห็นมาทั้งหมด มันยาก แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการจะทำจากมุมมองของอาชีพตัวเอง” อดีต กุนซือ ลิเวอร์พูล กล่าว

จนถึงตอนนี้ ร็อดเจอร์ส ได้เติบโตขึ้นในความรับผิดชอบต่างๆ โดยพนักงานคนหนึ่งของ เลสเตอร์ เล่าว่า “การเปลี่ยนแปลงในแง่ของทุกสิ่งจากอารมณ์รอบๆสโมสร วิธีที่ผู้เล่นตอบสนอง และมาตรฐานในทั้งสนาม และนอกสนาม ยอดเยี่ยมมาก มีคนพูดว่ามันเหมือนเรากำลังสะดุดอยู่ในความมืด และตอนนี้ไฟก็สว่างแล้วและทุกอย่างก็ชัดเจนนับตั้งแต่เขาเข้ามาคุมทีม”

อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสร เลสเตอร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วสโมสรว่า “คุณท็อป” ตั้งใจแน่วแน่ที่จะติดตามความหวังอันยิ่งใหญ่ของคุณพ่อวิชัยที่มีต่อสโมสร หลังจากที่เขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกนอกสนามเพาเวอร์ เมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา

ไอยวัฒน์ กล่าวเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลที่ผ่านมาว่า “เราต้องการที่จะปรับปรุงทุกด้านของสโมสรเพื่อให้สโมสรยั่งยืน และประสบความสำเร็จสำหรับคนรุ่นต่อๆไป เราจะให้การสนับสนุนแก่ส่วนต่างๆของสโมสรที่ต้องการการเสริมความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นทีมการเล่น สนามฝึกซ้อม สนามกีฬา พนักงานและโครงสร้างพื้นฐาน หากความต้องการของทีมได้รับการยอมรับ และมีความสามารถที่เหมาะสม ผมพร้อมที่จะสนับสนุนความก้าวหน้าและการปรับปรุงต่อไป”

การทำธุรกิจของ เลสเตอร์ นั้นโดดเด่นและก้าวหน้า กรณีนี้คือ ชากลาร์ โซยุนชู กองหลังดาวรุ่งทีมชาติตุรกี ที่ย้ายมาจาก ไฟร์บวร์ก ด้วยค่าตัว 18 ล้านปอนด์ ในช่วงฤดูร้อนปี 2018 และก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักในแนวรับแทนแทนที่ของ แม็กไกวร์ ได้อย่างยอดเยี่ยม

ลี คอนเกอร์ตัน หัวหน้าฝ่ายสรรหานักเตะทีมชุดใหญ่ของ เลสเตอร์ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ร็อดเจอร์ส ซึ่งย้อนหลังไปถึงปี 2005 เมื่อทั้งคู่ยังอยู่ที่ เชลซี โดย ร็อดเจอร์ส คุมทีมสำรองของ “สิงโตน้ำเงินคราม” ส่วน คอนเกอร์ตัน เป็นโค้ชทีมเยาวชน ก่อนที่ มูรินโญ่ จะขยับเขาไปเป็นหัวหน้าทีมแมวมอง

หลังจากนั้น ร็อดเจอร์ส และ คอนเกอร์ตัน ได้ร่วมงานกันอีกครั้งที่ เซลติก เป็นเวลา 3 ปี จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทั้งคู่จะมาทำงานร่วมกันที่ เลสเตอร์ โดยที่ คอนเกอร์ตัน จะทำงานกับผู้อำนวยการฟุตบอลอย่าง จอห์น รัดกิ้น และหัวหน้าผู้บริหารอย่าง ซูซาน วีแลน

เลสเตอร์ ทำธุรกิจเพียงเล็กน้อยในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา โดยพวกเขาซื้อตัว ยูริ ติเลอม็องส์ กองกลางดาวรุ่งชาวเบลเยี่ยม มาร่วมด้วยค่าตัว 40 ล้านปอนด์ และคว้าตัว อโยเซ่ เปเรซ หัวหอกชาวสเปน มาจาก นิวคาสเซิล ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์

นอกจากนี้ เลสเตอร์ ยังสามารถเก็บตัว เบ็น ชิลเวลล์ แบ็กซ้ายทีมชาติอังกฤษ วัย 22 ปี ที่ถูกไล่ล่าโดย อาร์เซน่อล และ ลิเวอร์พูล เอาไว้ได้ ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจเซ็นสัญญาระยะยาวในถิ่นคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ต่อไป

วิลเฟร็ต เอ็นดีดี้ กองกลางทีมชาติไนจีเรีย ได้รับความสนใจจากทีมยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป และ เจมส์ เมดดิสัน จอมทัพดาวรุ่ง ก็ได้รับความสนใจจาก แมนฯยูไนเต็ด แต่ทั้งคู่ยังคงเล่นกับ เลสเตอร์ และเป็นกำลังหลักในแดนกลางต่อไป

ขณะเดียวกัน เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้าตัวเก่ง ตอนนี้อายุ 32 ปี แต่ยังคงเป็นผู้นำในตำแหน่งดาวซัลโวของลีก ซึ่ง ร็อดเจอร์ส ก็ได้ปรับการเล่นของเขาเล็กน้อย โดยอธิบายว่า “ประการแรกจากมุมมองการป้องกัน เขาไม่จำเป็นต้องไปยินติดกับแผงแบ็คโฟร์ของคู่แข่ง เขาเป็นคนที่จะวิ่งตลอดเกมให้คุณได้ ตอนนี้มันมีความสอดคล้องกันมากขึ้นในวิธีที่เราต้องการให้เขาเล่นและเขาก็กำลังทำได้ดี”

“เขาเก่งมาก เขาฉลาดในการชิงจังหวะกับกองหลัง เขาเป็นจุดโฟกัสที่แท้จริงในทีมของเรา เขาเล่นในระหว่างช่องว่างของแนวรับได้ มันเป็นงานของเขาที่จะสร้างโอกาสให้ตัวเอง และคนอื่นๆและจากนั้น เขาก็จะหาโอกาสจบสกอร์”

“เขากำลังเล่นด้วยรอยยิ้ม และสนุกกับฟุตบอลของเขาจริงๆ และนั่นเป็นสิ่งสำคัญเสมอในฐานะผู้เล่น” อดีตโค้ช เซลติก กล่าว

การเริ่มต้นฤดูกาลของ เลสเตอร์ สะท้อนให้เห็นถึงทางเลือกอันชาญฉลาดของพวกเขา จากการก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมแห่งใหม่มูลค่า 80 ล้านปอนด์ ประกอบกับการแต่งตั้ง ร็อดเจอร์ส นั้น มันเป็นเหมือนการตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะทำให้พวกเขาไปได้ไกลในปีนี้และในอนาคต

เลสเตอร์ ในยุค เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

เนื้อหาใกล้เคียง