เอฟเวอร์ตัน : Everton

ประวัติสโมสร เอฟเวอร์ตัน

สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน (Everton Football Club) หรือทีรู้จักกันดีในนาม เอฟเวอร์ตัน เป็นทีมเก่าแก่ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในย่านวอลตัน เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ เอฟเวอร์ตัน เป็นเจ้าของสถิติทีมที่ยืนหยัดอยู่ในลีกสูงสุดของประเทศได้อย่างยาวนาน 116 ปี และมีเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้นที่สโมสรต้องร่วงตกชั้นลงไป โดยนับตั้งแต่ที่มีการสถาปนา ฟุตบอลลีก ขึ้นมาในปี 1888 พวกเขาเคยคว้าโทรฟี่ระดับเมเจอร์มาแล้ว 15 ครั้งอันประกอบไปด้วย แชมป์ลีกสูงสุด 9 ครั้ง,เอฟเอ คัพ 5 ครั้ง และ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ อีก 1 ครั้ง

หลังจากถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1978 จนมาเข้าร่วมเป็นสมาชิกของฟุตบอลลีกในปี 1988 ทีมก็สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ภายใน 2 ฤดูกาลถัดมา ก่อนจะกวาดแชมป์ ดิวิชั่น 1 ได้อีก 4 ครั้งรวมถึง เอฟเอ คัพ อีก 2 สมัยจนกระทั่งมาสะดุดกึกในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 และเริ่มกลับมาผงาดได้อีกครั้งในช่วงยุคปี 60 ที่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ 2 ครั้งและ เอฟเอ คัพ อีก 1 สมัย

ในช่วงระหว่างปี 80 ถือเป็นยุครุ่งเรืองล่าสุดของสโมสร จากการคว้าแชมป์ลีก 2 ครั้งและ เอฟเอ คัพ 1 ครั้ง รวมถึงการประสบความสำเร็จในเวทียุโรปครั้งแรกและครั้งเดียวจวบจนถึงปัจจุบันในรายการ คัพ วินเนอร์ส คัพ ปี 1985 โดยถ้วยรางวัลใบสุดท้ายที่พวกเขาคว้ามาครองได้ก็คือ ถ้วยแชมป์ เอฟเอ คัพ ปี 1995

ฉายาที่ขึ้นชื่อของ เอฟเวอร์ตัน ก็คือ เดอะ ทอฟฟี่ (The Toffees) หรือที่บ้านเราเรียกกันว่า ทอฟฟี่สีน้ำเงิน อันมีจุดเริ่มต้นหลังจากที่พวกเขาย้ายถิ่นฐานมาปักหลักอยู่ใน กูดิสัน พาร์ค มีคำอธิบายหลากหลายเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเรื่องราวที่น่าจดจำที่สุดก็คือการที่มีธุรกิจขนมหวานเติบโตอยู่ในย่านนั้น ซึ่งหนึ่งในสินค้าที่วางขายอยู่ก็คือ ลูกอมฮัมบัก ที่จะมีบรรดาหญิงสาวคอยเดินแจกไปรอบๆสนามก่อนเกมการแข่งขันที่แสดงให้เห็นถึงคอนเนคชั่นที่ชัดเจนระหว่าง 2 องค์กรในช่วงเวลานั้น

เอฟเวอร์ตัน 1977

1878 – สโมสรถูกก่อตั้งขึ้นภายใต้ชื่อดั้งเดิม เซนต์ โดมิงโก เอฟซี ตามชื่อโบสถ์แห่งหนึ่งภายในเมืองลิเวอร์พูล จากปกติที่มักจะมีการเล่นกีฬากันในแถบนั้นตลอดทั้งปีโดยเฉพาะ คริกเก็ต ที่มักจะเป็นที่นิยมกันในช่วงหน้าร้อน ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ชื่อ เอฟเวอร์ตัน ในช่วงปลายปีถัดมาหลังผู้คนในบริเวณนั้นเริ่มให้ความสนใจและอยากเข้ามามีส่วนร่วมกับทีม

1891 – หลังกลายเป็นสมาชิกรุ่นเปิดตัวของ ฟุตบอลลีก ในปี 1888 พวกเขาประเดิมถ้วยรางวัลใบแรกจากการคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 1 ประจำฤดูกาล 1890-91

1892 – เกิดความไม่ลงรอยกันระหว่าง จอห์น โฮลดิ้ง นายกเทศมนตรีเมืองกับสมาชิกผู้มีส่วนในการก่อตั้งสโมสรคนอื่นๆถึงปัญหาพื้นที่ของสนามแข่งขัน จนทำให้ โฮลดิ้ง ประกาศแยกตัวออกไปก่อตั้งสโมสรใหม่ในนาม ลิเวอร์พูล ในขณะที่ เอฟเวอร์ตัน ก็ตัดสินใจย้ายออกจากถิ่นฐานเดิมไปลงหลักปักฐานอยู่ที่ กูดิสัน พาร์ค

1906 – ทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยแรกมาครองได้สำเร็จหลังเฉือนเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศที่ คริสตัล พาเลซ

1915 – เอฟเวอร์ตัน คว้าแชมป์ลีกสมัยที่สองมาครองได้หลังทำแต้มเหนือ โอลด์แฮม แอธเลติก ไปเพียงแค่คะแนนเดียวหลังจบ 38 นัด ซึ่งหลังจากซีซั่นนั้น ฟุตบอลลีก ก็ต้องหยุดพักยาวไปเนื่องจากผลพวงของ สงครามโลกครั้งที่ 1

1928 – หลังการคว้าตัว ดิ๊กซี่ ดีน มาจาก ทรานเมียร์ โรเวอร์ส ในช่วงซัมเมอร์ปี 1925 เขาก็กลายเป็นกำลังหลักที่ช่วยกระหน่ำไปถึง 60 ประตูจาก 39 เกมในลีกระหว่างฤดูกาล 1927-28 จนทำให้ทีมก้าวขึ้นไปนั่งอยู่บนบัลลังก์แชมป์เป็นหนที่สาม โดยสถิติการยิงประตูได้มากที่สุดใน 1 ฤดูกาลของ ดีน ก็ยังคงยืนหยัดมาจนถึงปัจจุบันนี้

1930 – อย่างไรก็ตามเพียงแค่ 2 ซีซั่นถัดมา พวกเขากลับทำผลงานตกต่ำลงอย่างน่าใจหายโดยมีสาเหตุมาจากปัญหาภายในจนทำให้ทีมร่วงตกชั้นลงสู่ ดิวิชั่น 2 เป็นครั้งแรก

1931 – แต่แฟนๆ เดอะ ทอฟฟี่ ก็ใช้เวลารอคอยไม่นาน หลังทีมรักสามารถสร้างสถิติถล่มประตูได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ดิวิชั่น 2 จากการกดไปถึง 121 ตุงพร้อมกับการคว้าแชมป์และหวนคืนกลับสู่ลีกสูงสุดได้ในปีถัดมา

1932 – บรรดากองเชียร์ยังได้เฮกันอย่างต่อเนื่องหลังทีมพึ่งเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาหมาดๆ ด้วยการทำแต้มเหนือ อาร์เซน่อล ทีมแชมป์เก่าจนคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 1 ได้เป็นสมัยที่ 4

1933 – เอฟเวอร์ตัน คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยที่ 2 ได้สำเร็จ หลังเป็นฝ่ายเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ 3-0 ได้ในนัดชิงที่ เวมบลีย์

1939 – ทีมเดินหน้าคว้าแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 5 ภายในฤดูกาล 1938-39 โดยมี วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส ตามมาเป็นอันดับ 2 และก็เป็นอีกครั้งหลังการคว้าแชมป์เมื่อ 24 ปีก่อนที่ในซีซั่นถัดมาพวกเขารวมถึง ฟุตบอลลีก จะถูกเบรคไว้โดย สงครามโลกครั้งที่ 2

1951 – เป็นระยะเวลาเกือบสิบปีที่เกมการแข่งขันต้องหยุดชะงักลงเนื่องจากภาวะของสงคราม ซึ่งภายหลังจากที่ ฟุตบอลลีก เริ่มกลับมาลงเตะกันอีกครั้งในปี 1946 เอฟเวอร์ตัน ก็อยู่ในสภาพทีมที่กระจัดกระจายจนสุดท้ายก็ตกชั้นลงไปหลังจบฤดูกาล 1950-51 ด้วยการอยู่ในอันดับบ๊วย

1954 – หลังใช้ความพยายามอยู่ 3 ปี เดอะ ท็อฟฟี่ ก็หวนกลับคืนสู่ลีกสูงสุดของประเทศอีกครั้งด้วยการคว้าอันดับที่ 2 และไม่เคยหันหลังกลับไปยังลีกระดับรองอีกเลยจวบจนทุกวันนี้

1963 – ภายหลังการเข้ามาของ แฮร์รี่ แคทเทอริก ในปี 1961 เพียงแค่ฤดูกาลที่สองภายใต้การคุมทีมของเขา เอฟเวอร์ตัน ก็ก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์สมัยที่ 6 โดยทิ้งห่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไปถึง 6 คะแนน

1966 – แคทเทอริก พาทีมคว้าถ้วยรางวัลใบที่สองภายใต้การดูแลของเขา หลังนำลูกทีมเดินลงสู่สนามเวมบลีย์ ก่อนจะเฉือนเอาชนะ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ 3-2 และคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ เป็นสมัยที่ 3 ของสโมสร

1968 – พวกเขากลับคืนสู่ เวมบลีย์ ได้อีกครั้ง แต่คราวนี้ทีมกลับเป็นฝ่ายปราชัยให้กับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 1-0 และชวดโอกาสคว้าแชมป์บอลถ้วยเป็นสมัยที่ 4

1970 – เดอะ ท็อฟฟี่ คว้าแชมป์ ดิวิชั่น 1 สมัยที่ 7 หลังทำคะแนนนำหน้า ลีดส์ ยูไนเต็ด ไปไกลถึง 9 คะแนนหลังจบ 42 นัด ก่อนที่ แคทเทอริก จะประกาศวางมือในอีก 3 ซีซั่นถัดมา

1978 – ระหว่างยุคปี 70 ทีมไม่สามารถสร้างความสำเร็จที่เป็นชิ้นเป็นอันใดๆได้เลย แม้จะมีการผลัดเปลี่ยนผจก.ทีมหลายต่อหลายคนต่อจาก แคทเทอริก ทั้ง ทอม เอ็กเกิลสตัน,บิลลี่ บิงแฮม,สตีฟ เบอร์เทนชอว์ และ กอร์ดอน ลี โดยผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาก็คือการจบในอันดับที่ 3 ในฤดูกาล 1977-78

1981 – ในช่วงหน้าร้อนปีนั้น โฮเวิร์ด เคนดัลล์ อดีตกองหลังที่เคยช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกได้ 1 สมัย หวนคืนกลับสู่ถิ่น กูดิสัน พาร์ค อีกครั้งในฐานะผู้เล่น/ผจก.ทีม ก่อนจะรีไทร์จากอาชีพนักเตะภายหลังการลงสนามไปเพียงแค่ 4 เกมเพื่อก้าวขึ้นมาทำหน้าที่คุมทีมแทน กอร์ดอน ลี ที่ถูกปลดออกไปก่อนหน้านั้นอย่างเต็มตัว

1984 – ในขณะที่สถานการณ์บนเก้าอี้ของ เคนดัลล์ กำลังร้อนระอุ แต่แล้วเขากลับสามารถพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ เป็นสมัยที่ 4 ได้สำเร็จหลังเอาชนะ วัตฟอร์ด ในนัดชิงชนะเลิศที่ เวมบลีย์ ได้ 2-0

1985 – ไม่เพียงเท่านั้นในปีถัดมา เคนดัลล์ ยังสามารถพาลูกทีมโกยแต้มทิ้งห่าง ลิเวอร์พูล และ สเปอร์ส ไปไกลถึง 13 คะแนนจนคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 8 มาครองได้สำเร็จ พร้อมๆกับผ่านเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ก่อนจะเอาชนะ ราปิด เวียนนา 3-1 และปิดฉากฤดูกาลนั้นด้วยการเป็นดับเบิ้ลแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่

1987 – เคนดัลล์ ปิดฉากการคุมทีมซีซั่นสุดท้ายในยุคแรกกับ เอฟเวอร์ตัน ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ แอธเลติก บิลเบา ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 9 และครั้งสุดท้ายจนถึงปัจจุบันนี้ โดยมี ลิเวอร์พูล ทำแต้มตามหลังมาห่างๆ 9 คะแนน แต่ด้วยผลพวงจาก โศกนาฏกรรมเฮย์เซล อันมีที่มาจากน้ำมือของแฟนบอลคู่อริร่วมเมือง จึงทำให้พวกเขาหมดสิทธิ์ไปลงเตะในบอลถ้วยยุโรปฤดูกาลหน้าจากบทลงโทษทีมจากอังกฤษของทางยูฟ่า

1989 – โคลิน ฮาร์วี่ย์ มือขวาของ เคนดัลล์ ที่ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งต่อสามารถพาทีมตบเท้าเข้าสู่ เวมบลีย์ แต่ก็พลาดท่าให้กับ ลิเวอร์พูล 3-2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษในรายการ เอฟเอ คัพ จนชวดโอกาสเพิ่มความสำเร็จให้กับสโมสร

1992 – เอฟเวอร์ตัน กลายเป็นสมาชิกเริ่มต้นของ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 1992-93 และแม้พวกเขาจะได้ตัว โฮเวิร์ด เคนดัลล์ กลับมาคุมทีมอีกครั้งตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา แต่ซีซั่นแรกภายใต้แบรนด์ใหม่ของลีกสูงสุด ทีมก็จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 13 แบบไม่มีลุ้นใดๆทั้งสิ้น

1995 – ภายใต้การทำงานซีซั่นแรกของ โจ รอยล์ ที่ขยับเข้ามาเสียบแทน ไมค์ วอล์คเกอร์ ที่โดนปลดไปในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เขาก็พาทีมเข้าไปเผชิญหน้ากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ก่อนจะพลิกล็อคเอาชนะคู่แข่งบิ๊กเนมไปด้วยสกอร์ 1-0 จากประตูชัยในนาทีที่ 30 ของ พอล ไรด์เอาท์ และกลายเป็นโทรฟี่ระดับเมเจอร์ใบสุดท้ายของสโมสรจวบจนทุกวันนี้

2002 – ภายหลังการตัดสินใจลาออกของ รอยล์ ในเดือนมีนาคมปี 1997 โฮเวิร์ด เคนดัลล์ ก็ได้รับโอกาสเป็นรอบที่ 3 โดยก้าวเข้ามารับตำแหน่งต่อจาก เดฟ วัตสัน กุนซือขัดตาทัพ ต่อด้วย วอลเตอร์ สมิธ ในปีถัดมา ก่อนจะมาเป็น เดวิด มอยส์ ที่เข้ามาช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้ทีมรอดตกชั้นในช่วงท้ายฤดูกาล 2001-02

2004 – หลังการแจ้งเกิดของ เวย์น รูนี่ย์ อย่างเต็มตัวในฤดูกาลก่อนหน้านี้ สุดท้ายสโมสรก็ยอมปล่อยตัวเขาออกไปให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 28 ล้านปอนด์หลังจบฤดูกาล 2003-04

2005 – แม้จะสูญเสียซุปตาร์วัยทีนไปในช่วงซัมเมอร์ แต่ มอยส์ ก็สามารถพาทีมจบในอันดับที่ 4 พร้อมคว้าสิทธิ์ไปลงเตะใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือก แต่สุดท้ายพวกเขาก็พ่ายให้กับ บียาร์เรอัล และต้องลงไปเล่นในรายการ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก แทน

2009 – มอยส์ พาทีมกลับเข้าสู่ เวมบลีย์ เพื่อดวลกับ เชลซี ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ แม้พวกเขาจะเป็นฝ่ายออกนำไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 1 โดยจังหวะสับไกของ หลุยส์ ซาฮา แต่สุดท้าย ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา และ แฟรงค์ แลมพาร์ด ก็ช่วยกันยิงคนละประตูก่อนจะช่วยให้ทีมของ กุส ฮิดดิ้งค์ พลิกกลับมาเอาชนะไปได้ 2-1

2013 – หลังพาทีมจบฤดูกาล 2012-13 ในอันดับที่ 6 มอยส์ ก็ถูกดึงตัวไปเป็นทายาทของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนที่ทีมจะประกาศแต่งตั้ง โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ ที่ย้ายมาจาก วีแกน แอธเลติก ให้เข้ามารับหน้าที่แทน

2016 – แม้จะเปิดตัวได้ดีด้วยการคว้าอันดับที่ 5 ในปีแรกแต่หลังจากนั้น มาร์ติเนซ ก็ไม่สามารถพาทีมจบในอันดับครึ่งบนของตารางได้เลยในอีก 2 ซีซั่นถัดมา จนกระทั่งถูกปลดออกไปในช่วงหน้าร้อนปีนั้นก่อนที่ทีมจะหันไปเซ็นสัญญากับ โรนัลด์ คูมัน เพื่อเข้ามาแทนที่จาก เซาแธมป์ตัน

2017 – จากการออกสตาร์ทได้อย่างย่ำแย่ในซีซั่นที่ 2 คูมัน ก็ชะตาขาดหลังคุมทีมพ่าย อาร์เซน่อล ยับเยินคาบ้าน 5-2 จนต้องดัน เดวิด อันสเวิร์ธ โค้ชทีม U-23 ขึ้นมาทำหน้าที่แก้ขัด ก่อนจะได้ตัว แซม อัลลาไดซ์ เข้ามารับช่วงต่อแต่สุดท้ายก็อยู่ได้จนถึงแค่จบฤดูกาล

2018 – ในช่วงหน้าร้อน มาร์โก ซิลวา อดีตกุนซือวัตฟอร์ด ก็ได้กลายเป็นผจก.ทีมคนใหม่ของ เอฟเวอร์ตัน

เอฟเวอร์ตัน 2015

เอฟเวอร์ตัน เป็นทีมที่มีฐานแฟนบอลจำนวนไม่น้อย พวกเขาเป็นเจ้าของตัวเลขเฉลี่ยผู้ชมในสนามเหย้ามากที่สุดเป็นอันดับ 8 ของ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2008-09 กลุ่มแฟนคลับส่วนใหญ่ของทีมมาจากผู้คนในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ โดยเฉพาะจากในย่าน เมอร์ซี่ย์ไซด์, เชสเชียร์, เวสต์ แลงคาเชียร์ และบริเวณฝั่งตะวันตกของ เกรทเตอร์ แมนเชสเตอร์ รวมถึงกองเชียร์จำนวนหนึ่งที่อยู่ใน ไอร์แลนด์ และทางตอนเหนือของเวลส์

ในขณะที่ภายใน เมืองลิเวอร์พูล ที่ตั้งของสโมสรรวมถึง ลิเวอร์พูล ทีมอริร่วมเมือง ก็เป็นถิ่นฐานหลักของเหล่ากองเชียร์ที่ไม่ได้มีการแบ่งแยกกันตามภูมิภาคแต่กลับกระจายอยู่รวมกันในทุกๆพื้นที่
สาวกของ เดอะ ทอฟฟี่ ยังมีกระจัดกระจายอยู่ตามภูมิภาคทั่วโลก ทั้งใน อเมริกาเหนือ,สิงคโปร์,มาเลเซีย,ไทย,อินเดีย,ออสเตรเลีย และ เลบานอน ภายใต้ชื่อของกลุ่มผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการว่า ฟอร์เอฟเวอร์ตัน (Foreverton)

เอฟเวอร์ตัน ยังขึ้นชื่อการเป็นทีมที่มีกองเชียร์พร้อมใจกันออกเดินทางไปร่วมลุ้นในแมตช์เยือนมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆทั้งภายในประเทศและระดับทวีป ในเดือนตุลาคม 2009 ทีมได้รับโควตาตั๋วถึง 7,000 ใบสำหรับแฟนๆในการออกไปเยือน เบนฟิกา ในรายการ ยูโรปา ลีก และกลายเป็นสถิติกองเชียร์ทีมเยือนจำนวนมากที่สุดในเวทียุโรปนับตั้งแต่นัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ 1985

เอฟเวอร์ตัน ลิเวอร์พูล

คู่แข่งหมายเลข 1 ของพวกเขาจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากทีมเพื่อนบ้านอย่าง ลิเวอร์พูล โดยมีชื่อเรียก เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ (Merseyside derby) สำหรับเกมฟาดแข้งของทั้งสองทีม จุดเริ่มต้นของการชิงดีชิงเด่นกันมีที่มาตั้งแต่การขัดแย้งกันของเหล่าผู้บริหารทีมกับเจ้าของที่ดินในย่านแอนฟิลด์ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งสโมสรของพวกเขา จนสุดท้าย เอฟเวอร์ตัน ตัดสินใจย้ายออกไปก่อร้างสร้างตัวใหม่ใน กูดิสัน พาร์ค ในขณะที่ ลิเวอร์พูล ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1892 และปักหลักอยู่ในบริเวณ แอนฟิลด์ ดังเดิม

แม้หลังจากนั้นพวกเขาจะมองอีกฝ่ายว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ แต่ในการเผชิญกันของทั้งคู่ก็ถือเป็นเกมดาร์บื้ที่ได้รับการยอมรับนับถือระหว่างกันมากที่สุดคู่หนึ่งของวงการลูกหนังแดนผู้ดี หนึ่งในตัวอย่างที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือการประดับตกแต่งบริเวณรั้วสนามของทั้ง 2 ฝ่ายด้วยผ้าพันคอสีแดงและสีน้ำเงินเพื่อเป็นการรำลึกถึงแฟนบอล หงส์แดง ที่เสียชีวิตไปใน โศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่

ตั๋วการแข่งขันในเกมดาร์บี้ของเมืองลิเวอร์พูลมักจะถูกขายหมดเกลี้ยงเป็นเรื่องปกติ โดยที่แมตช์นี้ยังมีชื่อเรียกแบบน่ารักๆอีกว่า เฟรนด์ลี่ ดาร์บี้ (Friendly derby) จากการที่เราสามารถพบเห็นแฟนบอลของทั้ง 2 ฝ่ายภายใต้ชุดสีแดงและสีน้ำเงินนั่งอยู่ข้างๆกันทั้งในสนาม แอนฟิลด์ และ กูดิสัน พาร์ค อันเป็นเรื่องชินตา

อย่างไรก็ตามบรรยากาศการฟาดแข้งในสนามก็ไม่ได้จะมุ้งมิ้งตามชื่อเล่นไปด้วย จากสถิติที่มีการแจกใบแดงมากที่สุดของบรรดา ดาร์บี้ แมตช์ ทั้งหมดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก