โมเรโน่ ลั่น “ผมไม่มีโปรไฟล์สาธารณะ ดังนั้นคุณไม่สามารถตัดสินผมได้”

โรแบร์โต้ โมเรโน่ กุนซือทีมชาติสเปนคนปัจจุบัน

โรแบร์โต้ โมเรโน่ กุนซือทีมชาติสเปนคนปัจจุบัน กล่าวว่า เขามีความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ เมื่อตัวเองได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นนายใหญ่ของทัพ “กระทิงดุ” ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากที่ หลุยส์ เอ็นริเก้ อดีตโค้ชคนเก่าซึ่งเป็นเพื่อนของเขาอำลาทีม

โมเรโน่ ซึ่งเป็นชาวคาตาโลเนีย นั้น ปัจจุบันมีอายุ 42 ปี และเขาได้รับการยกย่องว่า มีการออกแบบแท็คติคที่ยอดเยี่ยมที่สุดในวงการฟุตบอลเมืองกระทิงดุ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เขาทำงานเป็นผู้ช่วยมาเกือบตลอดอาชีพของตัวเอง

โมเรโน่ เคยทำงานเคียงข้าง เอ็นริเก้ ในฐานะผู้ช่วย ตั้งแต่ที่ โรม่า, เซลต้า บีโก้ และ บาร์เซโลน่า ก่อนที่ทั้งคู่จะได้รับคัดเลือกจากทีมชาติสเปน อย่างไรก็ตาม ในช่วงฤดูร้อนนี้ เอ็นริเก้ ก้าวลงจากตำแหน่งเนื่องจากอาการป่วยของลูกสาว ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา และ โมเรโน่ ก็ถูกคำถามว่าเขาจะดีพอกับการกุมบังเหียนทัพ “กระทิงดุ” จริงหรือ

โค้ชคนใหม่ของทีมชาติสเปน มีโอกาสได้พูดคุยกับ กีเลียม บาลาเก้ กูรูลูกหนังเมืองกระทิงดุ ในการสัมภาษณ์แบบเปิดเผยสำหรับพอดคาสต์ฟุตบอลของ BBC Radio 5 Live สื่อกีฬาชั้นนำแดนผู้ดี โดย โมเรโน่ เริ่มเล่าว่า “ผมไม่มีโปรไฟล์สาธารณะมากนัก”

“มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ผมได้งานนี้ เพราะ หลุยส์ เอ็นริเก้ กุนซือของเรามีปัญหาเรื่องครอบครัว จากนั้น หลุยส์ รูบิอาเลส ประธาน สมาคมฟุตบอลสเปน (RFEF) ขอให้ผมทำทีมต่อ ตลอดเวลาที่ผมทำงาน ผมต้องการเป็นกุนซือ แต่นี่ไม่ใช่วิธีที่ผมต้องการให้เกิดขึ้น”

“หลุยส์ เอ็นริเก้ บอกให้ผมรับงานนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่คุณสามารถเลือกหรือเปลี่ยนแปลงได้ ผมไม่มีแม้แต่คำที่จะอธิบายความรู้สึกที่ผมมีใน 4 วันระหว่างที่เขาหยุดการฝึกซ้อม และผมก็รับช่วงต่อ มันเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งพอสมควร”

โมเรโน่ กล่าวต่ออีกว่า “ผมทำงานกับ หลุยส์ เอ็นริเก้ เป็นเวลา 9 ปี ผมเป็นนักวิเคราะห์ให้กับเขาในปีแรก จากนั้นผมก็กลายเป็นผู้ช่วยของเขา เขาแสดงให้ผมเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะได้เรียนรู้เพราะผมไม่เคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพมาก่อน”

“เขาช่วยผมสร้างความสัมพันธ์กับนักเตะในทีม ถ้าผมไม่ได้อยู่กับเขาในช่วงเวลาดังกล่าว มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะเรียนรู้ในช่วงเวลานั้น และผมก็เรียนรู้วิธีจัดการกับสื่อ เพราะบางทีสื่อก็ทำให้เราประหลาดใจได้”

“ผมคิดว่า สำหรับผู้เล่นแล้ว มันคงเป็นเรื่องแปลกเล็กน้อย แต่สำหรับพวกเขา ทีมงานทุกคนและผม ได้ทำงานร่วมกันตั้งแต่การแข่งขันในเกมกับ มอลต้า จากนั้นก็คือ สวีเดน และ ไอซ์แลนด์ เรามีโอกาสที่ดีโดยที่ หลุยส์ ไม่อยู่กับพวกเรา” โมเรโน่ กล่าว

เทรนเนอร์ “กระทิงดุ” กล่าวต่อว่า “สื่อรู้จักผู้เล่นทุกคนเป็นอย่างดี แต่ผมไม่มีโปรไฟล์สาธารณะแบบนั้น ดังนั้นคุณจะตัดสินใจได้อย่างไร เมื่อคุณไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผมในกรณีนี้ และผู้ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับผมคือ รูบิอาเลส และ โฆเซ่ ฟรานซิสโก้ โมลิน่า ผู้อำนวยการกีฬา พวกเขาเห็นสต๊าฟฟ์โค้ชของเราทำงานกับทีมทุกวันและจึงตัดสินใจ”

“พวกเขาไม่สงสัยเลยในตัวผมเลย และเราก็ทำผลงานได้ดี และเราต้องการเข้าไปเล่นในศึกยูโร 2020 รอบสุดท้าย สหพันธ์ฯไม่ได้ให้เป้าหมายแก่ผมสำหรับการแข่งขันครั้งนี้ ถ้าผมต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก็อยากจะเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศและคว้าแชมป์ อย่างไรก็ตาม เป้าหมายหลักคือการเก็บ 3 คะแนนในการแข่งขัน 2 นัดถัดไปเพื่อให้เป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม”

โมเรโน่ อธิบายต่อว่า “มันเป็นไปไม่ได้ที่จะวิเคราะห์เกมจากม้านั่งสำรอง เมื่อผมเรียนการเป็นโค้ช ผมรักเทคโนโลยี ผมจำได้ว่าตัวเองอยู่บนม้านั่งสำรอง และผมแทบจะไม่เห็นอะไรเลย ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันจะเป็นการดีที่จะเก็บรายละเอียดของเกมผ่านทางวิดิโอ”

“ในเวลานั้นแฟนของผมและพ่อของผม พวกเขาทั้งคู่เคยช่วยกันบันทึกเทปการแข่งขันจากบนอัฒจันทร์ จากนั้นผมก็จะดูวิดีโอ และวิเคราะห์ผู้เล่น ซึ่งมันเป็นวิธีที่ดีในการทำงาน

ขณะเดียวกัน โมเรโน่ เคยมีประสบการณ์ทำงาน

“สำหรับในเรื่องแท็คติคนั้น มีความสำคัญอย่างมากในสเปน และวิธีที่จะเข้าใจมันได้ดีที่สุดก็คือการใช้เทคโนโลยี เพราะการครอบครองบอลของเราเป็นสิ่งสำคัญ และสิ่งที่คุณทำกับลูกบอล ถ้าคุณไม่มีเทคโนโลยี และเวลาในการวิเคราะห์ มันก็จะยาก”

“เมื่อผมเริ่มฝึกสอนผู้เล่นทีมขาติสเปน ผมค้นพบหลายๆอย่างหลังจากแสดงวิดิโอการเล่นของพวกเขา และพวกเขาก็ได้ปรับปรุงตามความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในนัดล่าสุดที่ลงสนาม ผมคิดว่าพวกเขาคิดว่า ทีมงานของเรา กำลังช่วยเหลือพวกเขาด้วยเทคโนโลยีนี้” โมเรโน่ กล่าว

นายใหญ่ทีมชาติสเปน เล่าต่อว่า “เซอร์จิโอ รามอส เป็นผู้นำที่เด็ดเดี่ยวมาก ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมคุมทีม เขาพูดกับผม และบอกว่านักเตะทุกคนพร้อมจะช่วยผม และบอกว่าพวกเขาต้องการให้ผมอยู่กับพวกเขาต่อไป”

“เซอร์จิโอ เป็นผู้เล่นพิเศษและเป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อเขาเป็นคู่ต่อสู้คุณจะต้องการฆ่าเขา แต่เมื่อคุณมีเขาอยู่ในทีมของคุณ คุณจะรักเขามาก เขาเป็นคนแรกที่มาถึงสนามซ้อม และเริ่มซ้อมก่อนคนอื่นๆ เขาเป็นคนแรกที่พูดกับสื่อเมื่อคุณแพ้ เขาเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุด”

“รามอส มักจะถูกมองในแง่ลบ แต่เขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ทีมชนะ และเมื่อคุณชนะ แฟนบอลคู่แข่งก็จะเกลียดคุณ เพราะคุณอิจฉาเขา และคุณต้องการเอาชนะคนที่ยอดเยี่ยม ซึ่งมันทำให้ เซอร์จิโอ มีทั้งคนรักและคนเกลียด”

ขณะเดียวกัน โมเรโน่ เคยมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ ยอดนักเตะของโลกยุคปัจจุบัน อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ จอมทัพชาวอาร์เจนติน่า ของ บาร์เซโลน่า มาแล้ว ระหว่างปี 2014 และ 2017

“เขาเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ มันเหลือเชื่อมากที่ได้เห็นเขาในการฝึกซ้อมทุกวัน สิ่งที่คุณเห็นในการแข่งขันในทีวี เราได้เห็นมันทุกวันในสนามซ้อม ลิโอ เล่นทุกๆเกมเหมือนกันหมด คุณไม่สามารถฝึกสอนเขาได้อีกแล้ว เพราะเขาเป็นสุดยอดนักฟุตบอล คุณแค่ช่วยเหลือผู้เล่นคนอื่นให้ปรับตัวเข้ากับเขา ในเรื่องการเคลื่อนไหวและการตัดสินใจ”

“กับ ลีโอ มันก็เหมือนกับ The Matrix เขาสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ และเห็นการเคลื่อนไหวของผู้รักษาประตูคู่แข่ง และเขามีปฏิกิริยาที่สุดยอดมากในเกมรุก ไม่มีผู้เล่นคนใดในประวัติศาสตร์ที่ทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว ลีโอ เป็นเหมือนพระเจ้า” โมเรโน่ กล่าว

นอกจากนี้ โมเรโน่ ยังแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นการเหยียดเชื้อชาติในวงการฟุตบอลว่า “ผู้คนเหล่านี้ใช้สนามฟุตบอลเพื่อแสดงออกในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พวกเขาไม่สมควรที่จะเข้ามาชมเกม ตอนนี้มันเป็นเรื่องดีที่จะหยุดการแข่งขันทันทีเมื่อมีเหตุการณ์แบบนั้น และทำให้ผู้คนคิดว่า ถ้านี่เป็นโอกาสที่จะพัฒนาสังคมแล้วนั่นก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับผมเช่นกัน”

สุดท้ายนี้ โมเรโน่ กล่าวถึงทีมชาติอังกฤษ ที่เขาคิดว่าจะเป็นเต็งแชมป์ยูโร 2020 ว่า “ทีมชาติอังกฤษชุดนี้สำหรับผมแล้ว พวกเขาเป็นหนึ่งในตัวเต็งอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เราเคยได้ผลการแข่งขันที่ดีจากพวกเขาที่สนามเวมบลี่ย์ แต่เราก็มาแพ้ที่ เซบีย่า”

“พวกเขาเป็นตัวเต็ง ร่วมกับ ฝรั่งเศส และ เบลเยี่ยม ผมต้องแสดงความยินดีกับโค้ช กาเร็ธ เซาธ์เกท ของอังกฤษด้วยที่เขาทำผลงานได้ดีนับตั้งแต่มาคุมทีม” เทรนเนอร์ทีมชาติสเปน กล่าวทิ้งท้าย

โมเรโน่ กล่าวถึงทีมชาติอังกฤษ ที่เขาคิดว่าจะเป็นเต็งแชมป์

เนื้อหาใกล้เคียง