ไมกาห์ ริชาร์ดส์ “ด้านมืดของฟุตบอลมันเป็นสถานที่โดดเดี่ยว และผมรู้สึกเหมือนไร้ตัวตน”

ไมกาห์ ริชาร์ดส์ ด้านมืดของฟุตบอล

“คุณเป็นคนเห็นแก่เงิน” “คุณไม่เคารพเสื้อทีมที่ใส่” คุณเป็นไวรัสของทีม” “คุณกำลังฆ่าสโมสรนี้” สิ่งเหล่านี้เป็นข้อความที่ผมได้รับทุกวันทางโซเชียลมีเดียในช่วงเดือนสุดท้ายที่ผมเล่นอยู่ที่ แอสตัน วิลล่า และแน่นอนว่าแฟนบอลรู้สึกเจ็บปวด” ไมกาห์ ริชาร์ดส์ อดีตแบ็คขวาทีมชาติอังกฤษ กล่าวเปิดใจ

“ผมจะสงสัยว่า ทุกคนสามารถพูดได้เกี่ยวกับผม ถ้าพวกเขารู้ว่าผมมาจากไหน ผมทำงานหนักแค่ไหนและอะไรที่ผมเป็นเหมือนคนๆหนึ่ง แต่เมื่อคุณเป็นนักฟุตบอลที่ได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณห่างจากเกมไปไกลเท่าที่ผมเคยเป็น คุณจะได้รู้เกี่ยวกับด้านมืดของฟุตบอล ผมอยู่ในความโดดเดี่ยวมานาน และผมไม่รู้ว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร”

“ตอนนี้ผมเป็นกูรูฟุตบอล ไม่ใช่ผู้เล่นแล้ว แต่เมื่อผมถูกทำร้ายโดยแฟนๆ วิลล่า ใน Twitter และ Instagram ผมยังคงต่อสู้เพื่อรักษาอาชีพของผม ลึกลงไปผมอาจรู้ว่ามันจบไปแล้ว แต่สำหรับสองปีครึ่งที่ผ่านมาระหว่างเกมที่ 295 และเกมนัดสุดท้ายของผมในฐานะนักฟุตบอลอาชีพในการพบกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ในเดือนตุลาคม ปี 2016 และวันที่ผมประกาศแขวนสตั๊ดในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผมไม่ได้การยอมรับจากแฟนบอล” ริชาร์ดส์ กล่าว

อดีตเด็กปั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กล่าวต่ออีกว่า “ผมจะรอให้ผู้จัดการทีมคนใหม่แต่ละคนเข้ามาที่ วิลล่า และพูดกับผมว่า “ผมจะให้โอกาสคุณลงสนาม แต่มันถึงขั้นที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะถึงแม้ว่าผมจะฝึกซ้อมได้ 100% แต่ผมก็ไม่ได้ลงเล่น ผมสามารถวิ่งและกระโดดได้ แต่ผมไม่สามารถใช้งานที่เข่าขวาของผมได้ดีนัก และมันไม่ดีขึ้นเลย สิ่งที่ผมพยายามมันก็ไม่ได้สร้างความแตกต่าง”

“คุณไม่ได้รับการสอนวิธีจัดการกับจุดจบของอาชีพของคุณ มีหลายครั้งที่ผมได้รับบาดเจ็บที่ วิลล่า และผมรู้สึกเหมือนผมเป็นคนไม่มีตัวตน พวกเขาบอกให้ผมมาฟื้นฟูตัวเองที่สโมสร 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จากนั้น 2 ครั้ง จากนั้นก็หนึ่งครั้ง ผมต้องอยู่ที่บ้านรอให้หมอของสโมสรส่งข้อความมา”

“ผมได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยมจากเจ้าหน้าที่การแพทย์ทุกคนที่นั่น และผมรู้ว่าความตั้งใจนั้นน่าจะช่วยผมกลับมาลงสนามได้ เพื่อช่วยผมในเส้นทางอาชีพ แต่มันทำให้ผมเสียเวลามากมายในการคิด ทั้งหมดที่ผมต้องการจะทำ คือ ยังคงเล่นฟุตบอลต่อไป แต่ผมต่อสู้กับความคิดที่หัวเข่าของผมจะไม่ดีพอที่จะทำแบบนั้น แฟนๆรู้สึกหงุดหงิดกับผม และแน่นอนคุณก็เริ่มคิดว่าสโมสรไม่ต้องการคุณจริงๆ”

“ผมไม่เห็นเพื่อนร่วมทีมของผมมากนักในเวลานั้น เพราะผมไม่ได้ฝึกซ้อมกับพวกเขา แต่ผมจะไม่พูดถึงอารมณ์ของผม หรือแสดงความรู้สึกของผมออกมา ดังนั้นใครก็ตามที่พูดกับผมในเวลานั้น ก็ไม่เคยรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ในฐานะผู้เล่นคุณต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น แต่นักฟุตบอลทุกคนต่างก็ต้องรับมือกับมัน ผมเคยอยู่กับผู้เล่นหลายคนที่ผมคิดว่า พวกเขากำลังหดหู่ และผมได้เห็นผู้คนแค่ไปบอกว่า โอ้ พวกเขาจะไม่เป็นไรหรอก” ริชาร์ดส์ กล่าว

อดีตกองหลัง “สิงห์ผยอง” กล่าวต่อว่า “ในวงการฟุตบอล เมื่อคุณเป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จ คุณจะได้รับการยกย่อง คุณเป็นคนที่เพื่อนและครอบครัวมองหา และพวกเขาอาจไม่รู้ว่าจะเข้าหาคุณได้อย่างไร แต่เมื่อสิ่งต่างๆ กำลังเปลี่ยนแปลงไป คุณแค่ต้องการใครซักคนที่จะติดต่อคุณ และถามคุณว่าคุณเป็นอย่างไรบ้าง”

“การรับรู้คือคุณเป็นผู้ชาย คุณเป็นนักกีฬา และคุณได้รับค่าตอบแทนอย่างมาก คุณควรจะทำมันให้ดี ผมไม่ต้องการที่จะบอกว่า ผมรู้สึกหดหู่ใจกับตัวเอง เพราะมีคนที่ผมรู้ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตของพวกเขา และได้รับความเดือดร้อนจากภาวะซึมเศร้า และผมไม่คิดว่าสิ่งที่ผมผ่านมาอยู่ในระดับเดียวกัน”

“ผมพยายามที่จะคิดในเชิงบวกเสมอ และยิ้มบนใบหน้าของผม แต่ผมต้องการความช่วยเหลือ มีเวลา 2-3 เดือนที่ผมเข้ารับการอบรมเพื่อออกกำลังกายด้วยตัวเอง สตีฟ บรูซ ผู้จัดการทีม วิลล่า ในเวลานั้นบางครั้งจะเห็นผมและพูดกับผมว่า “ผมเป็นห่วงคุณ” แต่ทุกครั้งที่ผมเจอเขา ผมจะบอกเขาว่าผมสบายดี ผมไม่ได้มีปัญหาจริงๆ” ริชาร์ดส์ กล่าว

อดีตปราการหลัง วิลล่า เล่าต่อว่า “ผมจะเข้ายิมและบอกตัวเองว่า “ผมสบายดี ผมสบายดี ผมสบายดี” แต่จริงๆแล้วผมไม่รู้ว่าจะจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม และร่างกายของผมได้อย่างไร ผมปกติดี แต่คุณไม่ได้รับการสอนวิธีจัดการกับจุดจบของอาชีพของคุณ ไม่เคยเลยจริงๆ”

“อาการบาดเจ็บที่เข่าของนักเตะดาวรุ่ง และการฝึกซ้อมที่เริ่มหนักหน่วง ผมทำสิ่งท้าทายมาแล้วมากมาย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหัวเข่าขวาหักในครั้งแรก แต่ผมรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับมัน ซึ่งในที่สุดผมก็หลุดจากตำแหน่งในทีมในขณะที่ตัวเองยังอายุน้อย”

“มันเป็นจุดเริ่มต้นของปี 2008 ผมอายุ 19 ปีเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ และ แมนฯซิตี้ และตัวเองกำลังได้ใช้ชีวิตในฝัน ผมรักการเล่นทุกนาทีในเวลานั้น มันมหัศจรรย์มาก จากนั้นหัวเข่าผมก็เริ่มหลังจากจบเกม ผมเล่นผ่านความเจ็บปวดไปสักพัก หลังจากนั้นผมก็ต้องไปสแกนเพื่อดูอาการ หมอบอกว่า มันไม่ได้แย่เกินไป กระดูกอ่อนมีปัญหาเล็กน้อย”

“ดังนั้นผมจึงเริ่มการผ่าตัดครั้งแรก และพักไป 4 เดือน แต่จากตรงนั้นแทนที่จะดีขึ้น แต่หัวเข่าของผมนั้นก็ค่อยๆแย่ลงเรื่อยๆ แต่ผมก็สามารถรับมือกับมัน และยังคงลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ ผมเป็นตัวเลือกแรกของ แมนฯซิตี้ เมื่อเราคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 2011-12”

“แต่ในช่วงต้นฤดูกาล 2012-13 ในเกมกับ สวอนซี ผมบาดเจ็บอีกครั้ง ผมรู้ทันทีว่ามันไม่ดีแล้ว เพราะหัวเข่าผมเจ็บมาก และผมไม่สามารถยืดมันได้ เส้นเอ็นหัวเข่าผมฉีกขาด ดังนั้นผมจึงได้รับการผ่าตัดอีกครั้ง และผมก็ต้องพักไปอีก 6 เดือน”

“ต่อจากนั้นผมเริ่มได้รับบาดเจ็บที่บริเวณอื่นๆอีก เริ่มจากหัวเข่าและเอ็นร้อยหวาย แต่ผมยังคงลงเล่นต่อไป ผมสามารถจัดการกับมันได้ และถ้าผมปฏิบัติอย่างถูกต้อง และฝึกซ้อมในวิธีที่ถูกต้อง ผมก็สามารถเล่นได้ไปอีก 2-3 ปี”

ริชาร์ดส์ กล่าวต่อว่า “เมื่อ ทิม เชอร์วูด เซ็นสัญญากับผมในปี 2015 ที่ วิลล่า เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก เขารู้ว่าผมต้องทำอะไรในการฝึกซ้อม และผมเล่นทุกเกมให้เขาอย่างเต็มที่ แต่แล้วเขาก็ถูกไล่ออก และ เรมี่ การ์ด เข้ามาคุมทีมแทน”

“การ์ด บอกผมว่าถ้าผมไม่สามารถทำสิ่งที่เขาขอให้ผมทำในการฝึกซ้อมได้ เขาไม่สามารถเลือกผมลงสนามได้ ในฐานะกัปตันของ วิลล่า ผมเข้าใจเรื่องนั้น ผมรู้สึกว่าผมต้องทำสิ่งที่เขาขอมา และผมจะไม่บอกว่าผมทำไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม”

“ดังนั้นผมจึงพูดว่า “ตกลงผมจะทำ” ผมยังจำวันนั้นได้ เราวิ่งไปหลายไมล์รอบๆ สิ่งกีดขวางบนสนาม เห็นได้ชัดว่าผมอยู่ที่ด้านหลังคนอื่นๆ เพราะหัวเข่าของผมเจ็บมาก แต่เมื่อผมผ่านการซ้อมไปแล้ว เขาก็พูดว่า “คุณทำได้ดี”

ไมกาห์ ริชาร์ดส์ อดีตแบ็คขวาทีมชาติอังกฤษ

“แต่ผมแค่คิดว่า คุณทำให้ผมทำอย่างนั้น และคุณไม่รู้ว่าความเสียหายเกิดขึ้นไปแล้ว ตั้งแต่วันนั้นอาการบวมก็เริ่มกลับมาที่หัวเข่าทุกครั้งที่ผมทำอะไรแบบนั้น ผมรู้สึกเหมือนผมกำลังเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง และผมไม่รู้ว่าจะหยุดมันได้อย่างไร ผมเล่นให้กับ การ์ด เพียงครั้งเดียวในเกมแรกที่เขาคุมทีม”

“ในยุคของ สตีฟ บรูซ ผู้คนคิดว่าเขาไม่ได้ให้โอกาสผมที่ วิลล่า แต่นั่นไม่ใช่ความจริง ก่อนที่เขาจะมาถึงสโมสรในเดือนตุลาคมปี 2016 ผมไม่ได้รับการฝึกซ้อมมากนัก เนื่องจากมีอาการบวมที่เข่า แต่จริงๆแล้วผมจัดการบางอย่างที่เหมาะสม เมื่อเขาเข้ามารับหน้าที่”

“ผมใช้เวลา 66 นาที ในเกมกับ วูล์ฟ และร่างกายของผมก็เจ็บปวดเมื่อผมถูกเปลี่ยนตัวออกมา ผมเหนื่อยมาก เพราะผมได้เล่นไม่กี่นาทีในช่วง 2-3 เดือนก่อนหน้านี้ แต่ในวันถัดไปเข่าของผมเจ็บอีก และมันก็แย่”

“สตีฟ เก่งมากสำหรับผมและเขาบอกว่าผมต้องไปที่ไหนสักแห่งที่ผมสามารถเล่นได้สัปดาห์ละครั้งและจัดการหัวเข่าของผมอย่างถูกต้อง ผมพยายามที่จะออกไป และผมก็มีข้อเสนอมา แต่ วิลล่า ต้องการเงินค่าตัวสำหรับผม และไม่มีใครต้องการที่จะจ่าย”

“แม้ว่าเขาจะไม่ยอมแพ้ต่อผมจนกระทั่งถึงฤดูร้อนต่อไป ในช่วงพรีซีซั่นของปี 2017-18 ผมเจ็บเอ็นร้อยหวายของผมใน 5 นาทีแรกของเกมกระชับมิตรครั้งแรกของเรา และผมคิดว่านั่นคือตอนที่เขาหมดศรัทธาในตัวผมแล้ว เขาบอกผมว่าผมกำลังวิ่งแปลกๆ เพราะหัวเข่าของผม และนั่นส่งผลกระทบต่อผมด้วยอาการบาดเจ็บอื่นๆ”

“ผมกลับมาฟิตอีกครั้งหลังจากผ่านไป 10 วัน และสามารถเล่นได้ ดังนั้นผมจึงบอกเขาว่าผมพร้อม แต่เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนในทีมนั้นฟิตกว่าผมมาก และผมก็ยังรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ดังนั้นผมจึงไม่เหมาะที่จะลงสนาม”

“ดีน สมิธ เข้ามารับช่วงต่อจาก บรูซ ในเดือนตุลาคม 2018 ผมไม่ได้ฝึกซ้อมมานาน 3-4 เดือน ผมคิดว่าผู้จัดการทมีคนใหม่จะมาพร้อมกับโอกาสใหม่ ดังนั้น ผมจึงออกไปบนสนามเพื่อเข้ารับการฝึกซ้อม ผมคิดว่าผมโอเคดี แต่เห็นได้ชัดว่าอัตราการเต้นของหัวใจของผมกำลังถูกติดตาม และทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป”

ริชาร์ดส์ กล่าวต่อว่า “คนอื่นวิ่ง 5 km หรือ 6 km แต่ผมทำได้แค่ 4 km เท่านั้น ดีน พูดกับผมอย่างจริงใจหลังจากนั้น และพูดว่า ดูสิ ผมชอบที่จะให้โอกาสคุณในทีม แต่คุณไม่อยู่ในจุดที่ใกล้พอที่ผมต้องการให้คุณเป็น คุณห่างจากสิ่งที่เราต้องการ และการได้ลงสนามมันจะไม่เกิดขึ้น”

“ผมเคารพเขามากขึ้น เพราะบอกผมแบบจริงใจ แม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการจะได้ยิน ผมรู้ว่าอาชีพของผมอาจจะจบลง แต่ไม่มีหมอคนไหนเคยบอกผมว่าอาชีพผมจบแล้ว ผมยังคงได้รับการบอกว่าหัวเข่าของผมมันไม่ดีจริงๆ แต่ก็ยังมีคนอื่นที่มีการจัดการที่จะให้ผมเล่นต่อไปโดยการดูแลมันอย่างถูกต้อง”

“ผมเดาว่า ผมไม่ต้องการให้อาชีพของผมจบลง แต่ฤดูร้อนนี้ผมต้องคิดจริงจังเกี่ยวกับมัน มันจะง่ายกว่าถ้าผมไม่ดีขึ้นอีก แต่ผมต้องตระหนักว่า หัวเข่าของผมจะไม่ยอมให้ผมทำในสิ่งที่ผมต้องการ ถึงเวลาแล้วที่จะหยุดการต่อสู้”

“ผมพร้อมสำหรับความท้าทายใหม่ ตอนนี้ผมเป็นกูรูฟุตบอล ผมต้องการพูดคุยเกี่ยวกับส่วนนี้ของเกมและผลกระทบที่มีต่อคุณให้มุมมองของผมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เล่นในปัจจุบัน และแบ่งปันเรื่องราวของตัวเองที่ผู้คนอาจไม่รู้”

“ตอนนี้ผมสามารถดูทุกอย่างจากอีกด้านหนึ่งได้ ผมอายุ 31 เท่านั้น แต่ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหลุมพรางในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ทั้งผู้ที่ลงเล่น และผู้ที่ไม่ได้ลงเล่น ผมสามารถนั่งที่นี่แล้วมองย้อนกลับไปและคิดว่า ผมหวังว่าผมจะทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้นเพราะผมทำผิดพลาดไปพร้อมกัน แต่จริงๆแล้วผมภูมิใจในสิ่งที่ได้ทำ”

“ผมติดทีมชาติอังกฤษ 13 นัด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และเอฟเอ คัพ รวมทั้งลงเล่นให้กับ แมนฯซิตี้ ไปมากกว่า 250 เกม และเล่นให้กับ วิลล่า ในเมืองที่ผมเกิดไม่กี่ปีที่ผ่านมา มันอาจเป็นเรื่องยาก และในที่สุดเมื่อมันมาถึง มันเป็นอะไรที่ผ่อนคลาย แต่มันก็ไม่เหมือนกับว่าผมตกหลุมรักกับฟุตบอล มันค่อนข้างตรงกันข้ามในความเป็นจริง”

“ตลอดทั้งหมดนี้ ผมได้รับการพิจารณาว่า จะไม่ปรากฏตัวในเชิงลบต่อ วิลล่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าแฟน วิลล่า จะคิดอย่างไรกับผม และพวกเขารู้ถึงความสามารถของผม และตัดสินได้ว่าผมดีพอหรือไม่ เพราะบางครั้งเมื่อผมเล่นให้กับพวกเขา ผมทำเต็มที่เสมอ และพวกเขาไม่สามารถถามความเป็นมืออาชีพของผมได้

“ในช่วงท้ายของฤดูกาล 2015-16 เมื่อเราตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก เอริค แบล็ค กลายเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราว และผมถูกทิ้งไว้ แต่ผมเป็นกัปตันทีม และผมต้องการพยายามที่จะมีอิทธิพลในเชิงบวกต่อห้องแต่งตัว เอริค เรียกผมเข้ามา และบอกผมว่าทัศนคติของผมตรงไปตรงมา เขาบอกว่าเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า มันดีแค่ไหน เพราะเขาตัดผมออกจากทีม”

“ผมพูดกับเขาว่า คุณคาดหวังอะไรจากผม คุณคิดว่าผมทำสิ่งนี้ได้มากแค่ไหนในอาชีพการงานของผม? ผมบอกเขาว่าผมมีทัศนคติที่ดีตั้งแต่แรก เพราะผมต้องทำ ผมเติบโตขึ้นมาในส่วนหนึ่งของ ลีดส์ ที่เรียกว่า Chapeltown ซึ่งโอกาสไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก”

“เมื่อผมยังเป็นเด็ก ผมตัดสินใจว่าผมจะไม่ยอมแพ้ และเสียอะไรโดยการมีทัศนคติที่ไม่ดี และผมก็ติดอยู่กับสิ่งนั้นเสมอ ใช่ สิ่งต่างๆ สามารถทำให้ผมผิดหวัง แต่ผมจะไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม หรือจงใจส่งผลเสียต่อผู้อื่น มันไม่ใช่วิธีการที่ผมถูกเลี้ยงดูมา และผมไม่คิดว่ามันยุติธรรม ถ้าคุณรู้จักผม คุณจะรู้ว่าผมเป็นคนอย่างไร”

“เมื่อผมมองย้อนกลับไปในอาชีพการงานของผม ผมรู้ว่าสิ่งต่างๆ น่าจะดีขึ้นกว่าเดิม แต่ผมรู้ว่าผมให้ทุกอย่างที่ทำได้ และผมพอใจกับมัน ตอนนี้ในฐานะผู้เล่นเก่า ผมอยู่ในสถานที่ที่มีความสุขอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ผมแค่รู้สึกโชคดีที่ผมยังคงมีส่วนร่วมในเกมฟุตบอล และในบทบาทใหม่ของผม ผมหวังว่าจะสามารถอธิบายได้ว่า ชีวิตในฐานะนักฟุตบอลเป็นอย่างไร” ริชาร์ดส์ กล่าวทิ้งท้าย

อดีตกองหลัง สิงห์ผยอง กล่าวต่อ

เนื้อหาใกล้เคียง