ประเด็นการใช้ VAR ในสัปดาห์นี้กลับมาเป็นเรื่องใหญ่อีกครั้ง เมื่อคราวนี้ถูกมองว่าการทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษที่ดูไม่ได้ร้ายแรง แต่สุดท้ายก็ถูกตัดสินให้เป็นจุดโทษ แม้ทุกอย่างจะเข้าตามกฎแบบเป๊ะๆ โดยบทความนี้จะมองไปยังทีมได้ที่ผลบวกจากการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว รวมถึงทีมที่ได้รับผลกระทบเสียหายมากที่สุด โดยเป็นการนับเฉพาะตัวเลขที่ตัดสินใจให้เป็นประตู หรือปฏิเสธการเสียประตูของสโมสร
เอฟเวอร์ตัน ผลเป็นบวก 3 ครั้ง
ประตูของโดมินิค คัลเวิร์ต เลวิน ในเกมที่พบกับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน หลังจากถูกมองเป็นล้ำหน้าจากไลน์แมน ก่อนที่จะใช้ VAR และเปลี่ยนคำตัดสินให้เป็นประตู ครั้งที่สองเป็นจุดโทษที่ได้จากเกมที่พบกับคริสตัล พาเลซ เมื่อ โจเอล วอร์ด ไปรวบ ลูคัส ดีญ ล้มลงในกรอบเขตโทษ และช่วยให้ทีมชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 อีกหนึ่งครั้งเป็นประตูล้ำหน้าของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ในเมอร์ซีไซด์ ดาร์บี้ ทำให้เกมจบลงด้วยผลเสมอ 2-2
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผลเป็นบวก 1 ครั้ง
แมนฯ ยูไนเต็ดถูก VAR ตรงข้ามไปหลายครั้ง กับจังหวะที่ วิคเตอร์ ลินเดเลิฟ ถูกจับแฮนด์บอลและเสียจุดโทษในเกมที่พบกับพาเลซ ซึ่งต่อเนื่องกับจังหวะการเซฟจุดโทษของอันเดร อายิว แม้จะเซฟได้ แต่สุดท้าย ดาบิด เด เกอา ขยับตัวออกมาจากเส้นก่อน ก่อนที่จะเสียประตู แต่ทีมก็ยังได้ประโยชน์หลายครั้ง อย่างเช่นเกมที่พบกับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่ บรูโน่ แฟร์นานเดส ได้ยิงจุดโทษ 2 ครั้ง โดยยังมีประตูของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่พบกับนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่เปลี่ยนคำตัดสินจากล้ำหน้ากลายเป็นประตู
เชลซี ผลเป็นลบ 1 ครั้ง
ทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ไม่ได้เจอกับเรื่องดังกล่าวมากนัก เมื่อทีมได้รับผลกระทบอย่างจังในจังหวะของ อันเดรส คริสเตนเซ่น หลังผู้ตัดสินเปลี่ยนจากใบเหลืองเป็นใบแดง และกลายเป็นความพ่ายแพ้ต่อลิเวอร์พูลด้วยสกอร์ 2-0
ลิเวอร์พูล ผลเป็นลบ 7 ครั้ง
ลิเวอร์พูลได้ประโยชน์จากการถูกใบแดงไล่ออกจากสนามของ อันเดรส คริสเตีนเซ่น หลังผู้ตัดสินแจกใบเหลืองในตอนแรก ก่อนที่ทีมจะบุกไปเอาชนะเชลซีได้ 2-0 ฟาบินโญ่ยังถูก VAR จับว่าทำฟาวล์ โอลี แม็คเบอร์นี่ ในกรอบเขตโทษจนกลายเป็นจุดโทษ โดยลิเวอร์พูลยังถูกปฏิเสธประตู 3 ครั้งรวด จากการทำประตูของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ และ ดิโอโก้ โจต้า กับจังหวะแฮนด์บอลของ โจ โกเมซ ในเกมที่บุกไปเสมอกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเกมสดๆ ร้อนๆ กับไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน
