เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค : Virgil van Dijk

ประวัติ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค
เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค (Virgil van Dijk) เกิดวันที่ 8 กรกฎาคม 1991 เมืองเบรด้า ประเทศเนเธอร์แลนด์ พ่อของ ฟาน ไดจ์ค มีเชื้อชาติชาวดัตซ์โดยตรง ส่วนแม่ของ ฟาน ไดจ์ค มีเชื้อชาติซูรินาม ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่แทบทวีปอเมริกาใต้ ปัจจุบัน ฟาน ไดจ์ค สูง 193 เซนติเมตร หรือ 6 ฟุต 4 นิ้ว ลงเล่นในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ค สวมเสื้อหมายเลย 4 ทั้งสโมสรต้นสังกัดอย่างลิเวอร์พูลและทีมชาติเนเธอร์แลนด์ นอกจากนี้ยังรับบทบาทเป็นกัปตันทีมด้วย

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค วิลเลี่ยม ทเว ทู
ฟาน ไดจ์ค เป็นหนึ่งในเด็กเยาวชนที่มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพมาก นอกจากเขาจะหางานเสริมทำในช่วงเวลาที่เลิกฝึกซ้อมการเล่นฟุตบอลในแต่ทุกวัน ก่อนที่จะได้รับคัดเลือกเข้าไปสู่ศูนย์ฝึกซ้อมของสโมสร วิลเลี่ยม ทเว ทู (Willem II) ในปี ค.ศ. 2009-2010 ซึ่งเป็นการค้าแข้งครั้งแรกในเส้นทางอาชีพนักฟุตบอล ฟาน ไดจ์ค เข้าสู่ศูนย์ฝึกซ้อมในระเยาวชนของ สโมสร วิลเลี่ยม ทเว ทู ได้เพียงปีเดียวเท่านั้น

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค โกรนิงเก้น
แล้วก็ย้ายมาเซ็นสัญญากับทางสโมสร โกรนิงเก้น (Groningen) ในช่วงปลายปี 2010 แบบไม่มีค่าตัว ก่อนที่จะได้รับโอกาสลงเล่นเกมลีกในวันที่ 1 พฤษภาคม 2011 พบกับ เดน ฮาก ซึ่งเกมนั้น ฟาน ไดจ์ค ลงเล่นในฐานะตัวสำรองช่วงนาทีที่ 72 ลงมาแทน เพ็ตเตอร์ แอนเดอร์สัน แล้วท้ายที่สุดก็เป็นทางฝั่ง โกรนิงเก้น ที่เอาชนะไปได้ 4 ประตูต่อ 0 ในช่วงฤดูกาล 2011-2012 ฟาน ไดจ์ค ลงเล่นไป 23 เกม ส่วนประตูแรกของ ฟาน ไดจ์ค เกิดขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม 2011 เป็นเกมที่พบกับเฟเยนูร์ด ซึ่งเกมนั้น โกรนิงเก้น เอาชนะไปได้ 6 ประตูต่อ 0 แล้วประตูที่สองก็เกิดขึ้นในวันที่ 22 มกราคม 2012 ซึ่งในเกมนั้น ฟาน ไดจ์ค ช่วยให้ โกรนิงเก้น เอาชนะ เฮราเคิ่ลส์ อัลมีโร่ ไปได้แบบหวุดหวิดด้วยสกอร์ 2 ประตูต่อ 1 ถัดมา ฟาน ไดจ์ค ก็มีส่วนช่วยสโมสรโกรนิงเก้นทั้งการทำประตูและการป้องกันประตู จนฟอร์มการเล่นของ ฟาน ไดจ์ค ไปสะดุดตาของทีมงานแมวมองสโมสรเซลติก

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เซลติก
ซึ่ง ฟาน ไดจ์ค ได้ลงเล่นให้กับ โกรนิงเก้น เพียง 2 ฤดูกาลเท่านั้น ก่อนที่จะโดนยอดทีมแนวหน้าของประเทศสก็อตแลนด์อย่างเซลติก คว้าตัวไปร่วมทีมในวันที่ 21 มิถุนายน 2013 ด้วยค่าตัว 2.6 ล้านปอนด์ พร้อมกับสัญญา 5 ปี ฟาน ไดจ์ค ประเดิมสนามเกมแรกกับทีมต้นสังกัดใหม่ในวันที่ 19 สิงหาคม 2013 ในฐานะตัวสำรองช่วง 13 นาทีสุดท้าย โดยเกมดังกล่าวเป็นทางฝั่ง เซลติก ที่เอาชนะ อเบอร์ดีน ไปได้ 2 ประตูต่อ 0 ถัดมาอีกหนึ่งสัปดาห์ ฟาน ไดจ์ค ได้รับโอกาสลงเป็นตัวจริงครั้งแรกกับทางสโมสรในเกมที่เปิดบ้านรับการมาเยือนของ อินเวอร์เนสส์ แต่ผลการแข่งขันเกมนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะจบเสมอด้วยสกอร์ 2 ประตู 2 ช่วงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2013 ฟาน ไดจ์ค สามารถทำประตูแรกในสีเสื้อเซลติกได้ ด้วยการโหม่ง ซึ่งประตูดังกล่าวมีส่วนร่วมช่วยให้ เซลติก เอาชนะ รอสส์ เคาน์ตี้ ไป 4 ประตูต่อ 1 แล้วอีกหนึ่งประตูที่ ฟาน ไดจ์ค ทำให้แฟนบอลทั่วสนามไม่เคยลืม คือ การเลี้ยงบอลเดี่ยวเข้าไปดวลตัวต่อตัวกับผู้รักษาประตูของ เซนต์ จอห์นสโตน ก่อนที่จะยิงสวนเข้าไปเป็นประตู ในช่วงฤดูกาลแรกที่ ฟาน ไดจ์ค สามารถคว้าแชมป์ลีกร่วมกับสโมสรเซลติก ได้ แล้วก็มีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลนั้นด้วย พอย่างเข้าสู่ฤดูกาลที่สอง ฟาน ไดจ์ค ก็ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังของสโมสรเซลติกทันที และก็มีโอกาสได้เกี่ยวกับประสบการณ์จากการเจอกับสโมสรทางยุโรป แต่ด้วยประสบการณ์การเล่นที่มีไม่มากเลยทำให้ ฟาน ไดจ์ค พลาดท่าทำฟาว์ลใส่ เมาโร อิคาร์ดี้ ในเกมยูโรป้าลีก ก่อนที่จะถูกไล่ออกสนามในนาทีที่ 36 แล้วเกมดังกล่าว เซลติก ก็เป็นฝ่ายแพ้ต่อ อินเตอร์ มิลาน ไป 1 ประตูต่อ 0 แต่ถึงอย่างไรแล้วสโมสรทางยุโรปหลายสโมสรก็ได้ให้ความสนใจในความแข็งแกร่งของ ฟาน ไดจ์ค แล้วช่วงหลังเกม เซลติก พบกับ มัลโม่ ในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฟาน ไดจ์ค ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า เจ้าตัวอยากที่จะไปร่วมกับสโมสรทางยุโรป เพื่อหาความท้าทายใหม่ รวมถึงการค้าแข้งในอนาคตด้วย

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เซาแธมป์ตัน
ในวันที่ 1 กันยายน 2015 ฟาน ไดจ์ค ตัดสินใจมาฝากอนาคตที่ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ และก็ได้เซ็นสัญญากับทางสโมสรเซาแธมป์ตัน เป็นระยะเวลา 5 ปี ด้วยค่าตัว 13 ล้านปอนด์ แล้ว ฟาน ไดจ์ค ก็ได้ลงเล่นเกมแรกในวันที่ 12 กันยายน ในเกมที่พบ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ซึ่งเกมนั้นจบแบบไม่มีสกอร์ เลยทำให้ ฟาน ไดจ์ค ช่วยทีมไม่เสียประตูตั้งแต่เกมแรก ต่อมาอีก 1 สัปดาห์ ฟาน ไดจ์ค ก็ทำประตูแรกได้จากการเปิดโด่งเข้ามาของ เจมส์ วอร์ด พราวน์ ก่อนที่ ฟาน ไดจ์ค จะมาโหม่งเข้าไปตุงตะข่าย แล้วเกมนั้นก็เป็นทาง เซาแธมป์ตัน ที่เอาชนะ สวอนซี ซิตี้ ไปได้ 3 ประตูต่อ 1 ส่วนช่วงท้ายฤดูกาลประมานวันที่ 7 พฤษภาคม 2016 ฟาน ไดจ์ค ตัดสินใจขยายสัญญาเพิ่มอีก 1 ปี พอเข้าสู่ฤดูกาลที่สอง ฟาน ไดจ์ค ก็ได้รับบทบาทเป็นกัปตันทีมแทน โฆเซ่ ฟอนเต้ ที่ย้ายออกจากทีมไปในวันที่ 22 มกราคม 2017 หลังจากที่ ฟาน ไดจ์ค ประสบความสำเร็จกับสโมสรเซาแธมป์ตันมากมายในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีก็มีสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง ลิเวอร์พูล ให้ความสนใจเป็นพิเศษ แล้วทางสโมสรก็ทำสิ่งที่ไม่คาดคิดด้วยการแอบบติดต่อกับ ฟาน ไดจ์ค โดยตรง เลยปิดกฎการซื้อขายนักเตะ แต่ถึงอย่างไรแล้วทางบอร์ดบริหารสโมสรลิเวอร์พูลกก็มาขอโทษต่อสโมสรเซาแธมป์ตัน แล้ววันที่ 7 สิงหาคม 2017 ฟาน ไดจ์ค มีความต้องการที่จะขึ้นบัญชีซื้อขาย เพื่อบีบบังคับให้ทางต้นสังกัดปล่อยตัว แต่ก็ไม่สำเร็จ เลยทำให้ฤดูกาลต่อมา ฟาน ไดจ์ค ยังมีชื่อเป็นนักเตะสโมสรเซาแธมป์ตันอยู่ และกลับมาลงเล่นเป็นเกมแรกในวันที่ 26 กันยายน 2017 หลังจากที่ได้รับอาการบาดเจ็บในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ฟาน ไดจ์ค ก็ได้ลงเล่นในฐานะตัวสำรอง โดยที่เกมดังกล่าว เซาแธมป์ตัน เอาชนะ คริสตัล พาเลช ไปได้ 1 ประตูต่อ 0 ส่วนวันที่ 13 ธันวาคม 2017 ฟาน ไดจ์ค ได้ลงเล่นกับต้นสังกัดเป็นเกมสุดท้าย แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรทีมได้ เพราะแพ้ เลสเตอร์ ซิตี้ ไปแบบยับเยินด้วยสกอร์ 4 ประตูต่อ 1

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ลิเวอร์พูล
วันที่ 27 ธันวาคม 2017 สโมสรลิเวอร์พูล ได้แถลงการณ์ว่าสามารถคว้าตัว ฟาน ไดจ์ค มาร่วมทีมในช่วงตลอดหน้าหนาวได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม 2018 โดยมีค่าตัวอยู่ที่ 75 ล้านปอนด์ แล้วทางสโมสรต้นสังกัดเก่าอย่างเซลติกก็ได้รับส่วนแบ่งของการซื้อขาย ฟาน ไดจ์ค ครั้งนี้ 10 เปอร์เซ็นแบบฟรีๆ นอกจากนี้ยังกลายเป็นนักเตะกองหลังที่แพงที่สุดในโลก ในช่วงเวลานั้น ก่อนที่จะมาโดน แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ทำลายในช่วงซัมเมอร์ปี 2019 ฟาน ไดจ์ค ได้ลงเล่นเป็นเกมแรกในเกมเอฟเอคัพ รอบ 3 ในวันที่ 5 มกราคม นับว่าเป็นการทำประตูแรกของสีเสื้อลิเวอร์พูลไปด้วย จากการโหม่งใส่เอฟเวอร์ตัน เท่านั้นยังไม่พอ ฟาน ไดจ์ค ยังกลายเป็นนักเตะคนแรกในรอบหลาย 10 ปี ที่สามารถทำประตูในเกม เมอร์ซี่ไซส์ ดาร์บี้ ได้ในเกมที่เปิดตัว ซึ่งสถิติดังกล่าวเคยเป็นของ บิล ไวท์ ที่เคยทำได้ในปี 1901 และก็ได้กลายมาเป็นคู่หูกับ เดยัน ลอฟเรน ในการยืนล้ำแดนหลัง แล้ว ฟาน ไดจ์ค ก็มีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วย แม้ว่าจะได้ลงเล่นแค่ครึ่งฤดูกาล จนสามารถพาลิเวอร์พูลเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศกับ เรอัล มาดริด ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็จบในฐานะรองแชมป์ เพราะแพ้ไป 3 ประตูต่อ 1 ในช่วงฤดูกาลแรก ฟาน ไดจ์ค ลงเล่นไปทั้งหมด 22 เกมกับอีก 1 ประตู พอฤดูกาลต่อมา ฟาน ไดจ์ค ถูกโหวดให้เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมที่พบกับ คริสตัล พาเลช นอกจากนี้ ฟาน ไดจ์ค ยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนสิงหาคมด้วย แล้วฟอร์มการเล่นของ ฟาน ไดจ์ค ก็ดีวันดีคืนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในรูปแบบเกมรุกและรูปแบบเกมรุก แล้วก็ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกในช่วงเดือนธันวาคมไปครอง นอกเหนือจากนี้ก็ยังสามารถพาสโมสรลิเวอร์พูลเถลิงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นสมัยที่ 6 ได้ ในวันที่ 1 มิถุนายน 2019 ด้วย จากการเอาชนะทีมร่วมชาติอย่าง ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ไป 2 ประตู 2 ต่อ 0 ซึ่ง 2 ประตูดังกล่าวได้จากลูกจุดโทษของ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ในนาที่ 2 และลูกตอกฝาโลงของ ดิว็อค โอริกี้ ในนาทีที่ 87 นับว่าเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่ย้ายมาร่วมทัพกับทางสโมสรยักษ์ใหญ่อย่างลิเวอร์พูล