ไลป์ซิก : Leipzig

ประวัติสโมสร ไลป์ซิก

RasenBallsport Leipzig “ราเซินบัลชปอร์ท ไลป์ซิก” หรือเรียกสั้นๆว่า “แอร์เบ ไลป์ซิก” หรือในภาษาไทยเรียก อาร์บี ไลป์ซิก เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศเยอรมันนี ตั้งอยู่ในเมืองไลป์ซิก รัฐแซกโซนี ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.2009 โดยบริษัทเร้ดบลู เข้าซื้อสโมสรฟุตบอลที่แข่งอยู่ในดิวิชั่น 5 คือทีม เอสเอสวี มาร์กรันส์ตัดต์ เป้าหมายคือการสร้างสโมสรฟุตบอลใหม่ที่จะขึ้นไปแข่งขันในลีกบุนเดสลีกา ภายใน 8 ปี มีสนามเหย้าคือ เร้ดบลู อารีน่า

ฤดูกาล 2009-2010 พวกเค้าได้แชมป์ NOFV-Oberliga Süd เลื่อนชั้นขึ้นไปแข่งใน Regionalliga Nord ฤดดูกาล 2012-2013 พวกเค้าคว้าแชมป์โดยไม่แพ้ใคร และเลื่อนชั้นสู่ ลีก้า 3 และเลื่อนชั้นสู่ ลีก้า 2 ได้ในฤดูกาลถัดไปคือฤดูกาล 2013-2014 ก่อนจะคว้าอันดับที่ 2 เลื่อนชั้นสู่บุนเดสลีกา 2 เป็นทีมแรกของเยอรมัน ที่เลื่อนชั้นติดต่อกัน 3 ปี วันที่ 8 พฤษภาคม 2016 หลังจบฤดูกาล 2016-2017 ได้เลื่อนชั้นไปแข่งบุนเดสลีกา ลีกสูงสุดของเยอรมัน และหลังจบฤดูกาล 2017-2018 พวกเค้าได้รองแชมป์บุนเดสลีกา ได้สิทธิไปแข่งฟุตบอล ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก

ก่อนที่กลุ่มทุนของบริษัทเร้ดบลู จะเข้ามาลงทุนในเมืองไลป์ซิก เดียทริช มาเตส์ชิซ ใช้เวลากว่า 3 ปี ในการค้นหาทีมที่เหมาะสมที่จะลงทุนด้านฟุตบอลในประเทศเยอรมันนี ไม่ว่าจะเป็นทีมทางเยอรมันตะวันตกอย่าง ฮัมบูร์ก,มิวนิคและดุยเซลดอร์ฟ ครั้งแรกที่กลุ่มเร้ดบลูเข้ามาในเยอรมันนั้น เกิดขึ้นในปี ค.ศ.2006 เร้ดบลูได้รับคำแนะนำจาก ฟรานซ์ เบคเคิลบาวเออร์ เพื่อนคนสนิทของ เดียทริช มาเตส์ชิซ ทำให้เร้ดบลูสนใจในทีม ซานเช่น ไลป์ซิก โดยอดีตทีมแชมป์เยอรมันตะวันออกกำลังประสบปัญหาทางการเงินและเร้ดบลูมีแผนนำเงินลงทุนกว่า 50 ล้านยูโร เข้ามาลงทุนในทีม โดยแผนคือการเปลี่ยนสีสโมสร และเปลี่ยนชื่อทีม รวมทั้งการสนับสนุนการเตรียมสร้างภาพยนตร์โดย มิชาเอล โคลเมล สนับสนุนทีมซานเช่น ไลป์ซิก และเป็นเจ้าของสนามเซนทรัลสเตเดี้ยน

ในปี 2006 ซานเช่น ไลป์ซิก แข่งขันอยู่ในดิวิชั่น 4 ของลีกฟุตบอลอาชีพในเยอรมัน โดยในดิวิชั่นที่ 4 นั้นสโมสรต้องได้รับใบอนุญาตในการลงแข่งก่อน ทางเร้ดบลูและสโมสรได้ร่วมมือกันในเรื่องนี้ แต่ถูก DFB ปฏิเสธห้ามไม่ให้มีการเปลี่ยนชื่อทีมใหม่ เพราะเหมือนเป็นการโฆษณาบริษัทมากเกินไป หลังจากนั้นบรรดาแฟนบอลก็ออกมาประท้วงสโมสรถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จนข้อตกลงนี้ต้องพับไป กลุ่มทุนเร้ดบลูจึงหันไปหาทีมจากเยอรมันตะวันตก โดยทีมแรกคือทีม ซังต์ เพาลี มีการคุยกันถึงข้อตกลงในการเข้ามาสนับสนุนทีมในช่วงเวลาสั้นๆก่อนจะมีข่าวแฟนบอลประท้วงเรื่องการครอบครอง เอสวี ออสเตรีย ซัวล์บวร์ก ในออสเตรีย หลังจากเคลียร์ปัญหาข้างต้นแล้ว ทีมได้ติดต่อไปที่ฮัมบูร์ก เมื่อฮัมบูร์กทราบถึงแผนการที่มากกว่าการเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนทั่วไปก็ยกเลิกการเจรจาทันที และสโมสรได้ติดต่อไปทาง 1860 มิวนิค แต่ทางสโมสรไม่มีนโยบายด้านนี้ เลยไม่มีการคุยรายละเอียดกันเพิ่มเติม

ไลป์ซิก 2007 เลื่อนชั้น

ในปี ค.ศ.2007 กลุ่มเร้ดบลูมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในทีม ฟอร์ทูน่า ดุยเซลดอล์ฟ ทีมที่มีความเก่าแก่กว่า 100 ปี ทันทีที่เรื่องนี้ทราบถึงคนทั่วไปว่า เร้ดบลูต้องการเข้ามาซื้อหุ้นของทีมกว่า 50 % พร้อมกับจะเปลี่ยนชื่อทีมเป็น เร้ดบลู ดุยเซลดอล์ฟ หรือที่คล้ายๆกัน ทำให้บรรดาแฟนบอลรวมตัวกันประท้วงสโมสรและเช่นเดียวกับทีม ซานเช่น ไลป์ซิก สโมสรไม่สามารถเปลี่ยนชื่อได้ เพราะดีเอฟ มองว่าเป็นการโฆษณาหรือหาเสียงมากเกินไป ทำให้โครงการนี้ต้องล้มเลิกไปในที่สุด

เมืองไลป์ซิกนั้นถือเป็นเมืองที่มีความเหมาะสมในการลงทุนด้านฟุตบอลมาก เพราะเป็นเมืองใหญ่ มีประชากรกว่า 500,000 คน มีประวัติศาสตร์ด้านฟุตบอลยาวนาน และเป็นที่ก่อตั้งสมาคมฟุตบอลเยอรมันในยุคแรกเริ่ม และเป็นสนามแห่งแรกของทีมชาติเยอรมันอีกด้วย ปัจจุบันเมืองไลป์ซิกไม่มีทีมที่แข่งอยู่ในลีกสูงสุดของเยอรมันอย่าง บุนเดสลีกา เลย โดย 2 ทีมที่ดีที่สุด อย่าง เอฟซี โลโคโมทีฟ ไลป์ซิก และบีเอสจี เชเมีย ไลป์ซิก แข่งอยุ่ในลีกภูมิภาคตะวันออกของเยอรมัน อย่างโอเบอร์ลีกา รวมถึงปัญหาความวุ่นวายของแฟนบอล ตอนนี้เมืองใหญ่เมืองนี้ต้องการฟุตบอลอาชีพสักทีมที่ลงเล่นในบุนเดสลีกา เพื่อให้แฟนบอลได้ชม

เมืองไลป์ซิกมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน และถนนมอเตอร์เวย์ และที่สำคัญที่สุดคือ มีสนามฟุตบอลที่ใหญ่และทันสมัยอยุ่ในเมืองอย่าง เซ็นทรัลสเตเดี้ยน ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเยอรมันตะวันออก รองจากสนาม โอลิมปิก สเตเดี้ยน ในกรุงเบอร์ลิน

ไลป์ซิก 2009

ทางเร้ดบลูทราบดีว่าการลงทุนในลีกระดับดิวิชั่น 1 ขึ้นไปนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูง และด้วยข้อกฎกติกาของสมาคม ทีมไม่สามารถเปลี่ยนชื่อของทีมได้ การลงทุนดังกล่าวจึงมีความเสี่ยงต่อการขาดทุนมาก จึงเป็นการดีกว่าถ้าสร้างสโมสรขึ้นมาใหม่ซัก 1 สโมสร ต้นปี ค.ศ.2009 ทางเร้ดบลูได้ทำการปรึกษากับทางสมาคมฟุตบอลแซกโซนี เพื่อหาแนวทางและขั้นตอนในการสร้างสโมสรใหม่ในแซกโซนี

โดยสโมสรที่สร้างขึ้นใหม่นั้น ต้องมีทีมและการแข่งขันที่ถูกต้อง โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากสโมสรอื่นๆ และต้องเริ่มแข่งขันจาก ระดับ เครียส์กลาสเซ่ หรือลีกต่ำสุดของประเทศเยอรมัน ทางเร้ดบลูได้พยายามค้นหาทีมที่แข่งขันอยุ่ในลีกดิวิชั่น 5 หรือโอเบอร์ลีกา ตั้งแต่ปี 2008 เพราะเป็นดิวิชั่นที่อยู่นอกเหนือกติกาของ DFB หลังจากนั้น มิชาเอล โคลเมล ได้เสนอโครงการให้กับเร้ดบลู โดยเสนอชื่อทีม เอสเอสวี มาร์กรันสตัดต์ ทีมเล็กๆในหมู่บ้านที่อยู่ห่าง 30 กิโลเมตรทางตะวันออกของไลป์ซิก โดยสโมสรมีความสนใจที่จะร่วมทุนกับบริษัทใหญ่ๆเพื่อสนับสนุนทางการเงินและความมั่นคงให้กับสโมสร โดยประธานสโมสร โฮล์เกอร์ นุส์ซบาอัม นำเสนอแผนการของทีมให้กับ มิชาเอล โคลเมล เพื่อที่มิชาเอล จะได้นำข้อเสนอนี้ส่งต่อไปยังเร้ดบลู หลังจากนั้นเพียง 5 สัปดาห์ ทางเอสเอสวี มาร์กรันสตัดต์ ก็ตัดสินใจขายสิทธิการแข่งขันในโอเบอร์ลีกา ให้กับทางกลุ่มทุน เร้ดบลู โดยเชื่อว่าเค้าได้รับเงินจากการขายสิทธิครั้งนี้ประมาณ 350,000 ยูโร

RasenBallsport Leipzig e.V. ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 19 พฤษภาคม 2009 โดยผู้ก่อตั้งทั้ง 7 คนเป็นพนักงานของบริษัทในกลุ่มเร้ดบลู โดยมี อันเดรียส์ ซาโดล เป็นประธานสโมสร โจอาค์ฮิม ครูกจ์ เป็นผู้จัดการทั่วไป โดยอันเดรียส์ ซาโดล นั้นรู้จักกันดีในฐานะเอเย่นต์นักฟุตบอล โดยเป็นเอเย่นต์ของบริษัท สตาร์ แอนด์ เฟรนด์ แต่กฎของสมาคมฟุตบอลเยอรมันห้ามเอเย่นักเตะเป็นประธานสโมสร เค้าจึงลาออกจากการเป็นเอเย่นมารับตำแหน่งประธานสโมสรพียงตำแหน่งเดียว ส่วนโจอาค์ฮิม ครูกจ์นั้นเคยเป็น โค้ชและผู้จัดการทีมของ รอต วิซซ์ อาห์เล่น หรือที่รู้จักกันในทีม แอลเอช อาห์เล่น

อาร์บี ไลป์ซิก กลายเป็นทีมที่ 5 ของสโมสรฟุตบอลที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของ เร้ดบลู โดยสโมสรที่เหลือได้แก่ เอฟซี เร้ดบลู ซัวซ์บวร์ก ในออสเตรีย,เดอะ นิวยอร์ก เร้ดบลู ในสหรัฐอเมริกา,เร้ดบลู บราซิล ใน บราซิล และ เร้ดบลู กาน่า ในกาน่า แต่ในเยอรมันนั้น ชื่อสโมสรไม่อาจเอาชื่อบริษัทหรือสินค้ามาตั้งได้ สโมสรเลยตั้งชื่อว่า ราเซ่นบอลล์สปอร์ต โดยใช้ตัวย่อว่า อาร์บี ซึ่งตรงกับชื่อย่อของเร้ดบลูนั่นเอง

อาร์บี ไลป์ซิก เริ่มเข้ามาเป็นหุ้นส่วนกับทาง เอสเอสวี มาร์กรันสตัดต์ ในการแข่งขันระดับดิวิชั่น 5 โดยมี เอสเอสวี มาร์กรันสตัดต์เป็นแกนหลัก ในการนำอาร์บี ไลป์ซิกเข้าสุ่ระบบลีกของเยอรมัน และเนื่องจากกฎของ DFB สโมสรต้องประด้วยด้วยทีมชุดใหญ่และทีมเยาวชนอีก 3 ทีม ทำให้ทางอาร์บี ไลป์ซิกต้องหาทีมเยาวชนเพิ่ม หลังจากพยายามหาหนทางอยู่นั้น ทีมซานเช่น ไลป์ซิก กำลังประสบปัญหาทางการเงินอยู่พอดี ไม่สามารถหาเงินมาจัดการทีมระดับเยาวชนได้ ทางอาร์บี ไลป์ซิก เลยเข้าเสนอการช่วยเหลือ แลกกับสิทธิในทีมเยาวชนทั้ง 3 ทีม วันที่ 13 มิถุนายน 2009 ทาง NOFV หรือสมาคมฟุตบอลเยอรมันตะวันออกเฉียงเหนือ ได้อนุมัติการโอนสิทธิดังกล่าว เพื่อยืนยันความเสร็จสมบูรณ์

ไลป์ซิก 2010

ในช่วงแรกที่แข่งใน โอเบอร์ลีกานั้น อาร์บี ไลป์ซิก ใช้สนามเก่าของเอสเอสวี มาร์กรันสตัดต์ ในการแข่งขัน โดยสนามมีความจุ 5,000 ที่นั่ง อย่างไรก็ตามพวกเค้ามีแผนที่จะย้ายไปใช้สนามที่ใหญ่กว่าอย่างสนาม เซ็นทรัลสเตเดี้ยน โดยย้ายสำเร็จหลังจากเลื่อนชั้นมาแข่งในระดับ เรจินอลลีกา ในปี ค.ศ.2010 โดยกลุ่มทุนเร้ดบลูได้ซื้อสิทธิการใช้ชื่อสนาม ในปี ค.ศ.2009 เป็นเวลากว่า 8 ปีที่ อาร์บี ไลป์ซิก ก้าวขึ้นมาแข่งในระดับบุนเดสลีกา ได้สำเร็จ มีการคาดการว่า ทางเร้ดบลูลงทุนระยะยาวในทีมกว่า 100 ล้านยูโร ในการนำอาร์บี ไลป์ซิกคว้าแชมป์ฟุตบอลเยอรมันให้ได้ อย่างที่ทีม วีเอฟแอล ไลป์ซิก เคยทำได้ ในปี ค.ศ.1903

ก่อนเริ่มแข่งใน เรจินอลลีกา อาร์บี ไลป์ซิก ได้มีการเปลี่ยนแปลงภายในทีม โดยส่งทีมเยาวชนทั้งหมดให้กับทีม เอสเอสวี มาร์กรันสตัดต์ และนำทีมชุดใหญ่ของทีม ESV Delitzsch มาเป็นทีมสำรอง และซื้อสิทธิการเล่นให้กับทีม เบเซิร์กส์ลีกา ไลป์ซิก ทีมชุดใหญ่ย้ายจาก สเตเดี้ยน อาม แบด ในมาร์กรันสตัดต์ ไปใช้สนาม เซ็นทรัลสเตเดี้ยน ในเมืองไลป์ซิก เป็นสนามเหย้าแห่งใหม่ โดยสนามแห่งนี้เคยใช้จัดฟุตบอลโลกในปีค.ศ.2006 แต่มาได้เปลี่ยนชื่อเป็น เร้ดบลู อารีน่า วันที่24 มิถุนายน 2010 เปิดใช้สนามไครั้งแรก ได้มีการจัดฟุตบอลนัดกระชับมิตรกับทาง ทีมรองแชมป์บุนเดสลีกา อย่าง เอฟซี ชาล์เก้ 04 ท่ามกลางผู้ชมกว่า 21,566 คน โดยจบเกมส์ทีมแพ้ไป 1-2 หลังจากนั้น 6 วัน อาร์บี ไลป์ซิก ได้ลงแข่งขันในสนาม สเตเดี้ยน อาม แบด เป็นนัดสุดท้าย โดยการแข่งกระชับมิตรกับทีม แฮร์ธ่า เบอร์ลิน และเป็น อาร์บี ไลป์ซิกที่ชนะไป 2-1

ในฤดูกาล 2011-2012 วันที่ 6 สิงหาคม 2011 เริ่มแข่งขันในลีก เรจินิลลีกา พบกับทีมเตอร์กิเยมสปอร์ ท่ามกลางผู้ชม 4,028 ชัยชนะครั้งแรกของทีมเกิดขึ้นในนัดที่ 4 เมื่อพวกเค้าไปเยือนและเอาชนะทีม โฮล์สเตน คีเอล ได้ 2-1 พวกเค้าชนะนัดแรกในบ้านได้ในนัดที่ 5 โดยชนะทีมเอฟซี เมจ์เดบวร์ก 2-1 หลังจบฤดูกาลทีมทำได้เพียงอันดับ2 ไม่ได้สิทธิเลื่อนชั้น ทางอาร์บี ไลป์ซิก จึงเซ็นสัญญานักเตะกองกลางชาวบราซิลอย่าง ติอาโก โรค์เคนบาช เซ็นกองหน้าดาวรุ่งพรสวรรค์สูงอย่าง คาร์สเตน คามม์ลอตต์ และเซ็นกองหลังมากประสบการณ์อย่าง ทิม เซบาสเตียน ในช่วงจบฤดูกาลนั้น

ภายใต้การนำทีมของ โทมัส โอรอล วันที่ 1 มิถุนายน 2011 ทีมได้แชมป์แซกโซนี คัพ หลังเอาชนะทีม เชมนิตเซอร์ 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศ ท่ามกลางผู้ชมกว่า 13,958 คน ที่สนามเร้ดบลู อารีน่า พร้อมรับสิทธิแข่งในฟุตบอลรอบคัดเลือกรายการ DFB Pokal ฤดูกาล 2011-2012 เนื่องจากการพลาดเลื่อนชั้น วันที่ 4 พฤษภาคม ทีมตัดสินใจแต่งตั้ง ผู้จัดการทีมราปิด เวียนนา ปีเตอร์ ปาเค้าต์ เป็นผู้จัดการทีมในฤดูกาล 2011-2012 วันที่ 29 กรกฎาคส 2011 อาร์บี ไลป์ซิก สร้างความฮือฮา เมื่อแข่ง DFB Pokal รอบแรก เอาชนะทีมจากบุนเดสลีกาอย่าง วีเอฟแอล โวล์ฟบวร์ก 3-2 ท่ามกลางผู้ชมกว่า 31,212 คนที่สนามเร้ดบลู อารีน่า ก่อนที่รอบต่อไปจะพ่ายแต่เอฟซี เอ้าส์บวร์ก 1-2 สิ้นสุดเพียงรอบสองเท่านั้น ฤดูกาล 2011-2012 ทีมได้อันดับที่ 3 ของตาราง ทำให้ยังคงต้องแข่งในเรจินอลลีกาต่อไปอีกฤดูกาล

ไลป์ซิก 2013

ฤดูกาล 2012-2013 สโมสรประสบความสำเร็จมากขึ้น เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2013 สามารถคว้าแชมป์แซกโซนี คัพ ได้อีกครั้ง โดยการพบกับทีมเดิมที่เคยเจอในปี ค.ศ.2011 คือ เชมนิตเซอร์ และพวกเค้าป้องกันแชมป์ได้ด้วยการชนะ 4-2 ท่ามกลางผู้ชมกว่า 16,864 คน พร้อมได้สิทธิแข่งขันในถ้วย DFB Pokal ในฤดูกาลถัดไป นอกจากนี้พวกเค้ายังคว้าแชมป์เรจินอลลีกา ได้สำเร็จ ผ่านไปแข่งรอบคัดเลือกเลื่อนชั้นกับแชมป์จากเรจินอลลีกาตะวันตก นัดแรกพวกเค้าเอาชนะทีม สปอร์ตฟรันเด ล๊อตเต้ ไปได้ 2-0 โดยมีผู้ชมมากถึง 30,104 คน ถือเป็นสถิติของการแข่งขันในระดับดิวิชั่น 4 เลยทีเดียว นัดที่ 2 พวกเค้าเสมอกัน 2-2 ทำให้ อาร์บี ไลป์ซิก ได้สิทธิเลื่อนชั้นไปแข่งใน ลีก้า 3 ในฤดูกาลหน้า ฤดูกาล 2013-2014 พวกเค้าแพ้ต่อเอ้าส์บวร์กตั้งแต่รอบแรกในการแข่งขัน DFB Pokal และทำผลงานในลีกได้ดีมากๆ โดยฤดูกาลแรกก็สามารถคว้าอันดับที่ 2 ของตารางมาได้ ทำให้ได้สิทธิเลื่อนชั้นสู่ลีก้า 2 ทันที เป็นทีมแรกที่สามารถเลื่อนชั้นจากลีก้า 3 สู่ลีก้า 2 ได้ภายใน 1 ปี

 

หลังจากทีมเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีก้า 2 หรือบุนเดสลีกา 2 กติกาได้เปลี่ยนแปลงใหม่โดยจากเดิมถือกฎของ DFB เปลี่ยนเป็นกฎของ DFL และทาง DFL มองว่า สโมสรยังไม่มีส่วนร่วมกับชุมชนมากพอ จึงยังไม่ออกไปอนุญาติในการลงแข่งให้

โดยเสนอกฎให้สโมสรปฏิบัติ 3 ข้อคือ
1. ให้สโมสรแก้ไขโลโก้ใหม่ เพราะที่ใช้อยู่เหมือนโลโก้ของเร้ดบลูเกินไป
2. ให้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างขององค์กรในสโมสรใหม่
3. ให้ลดค่าธรรมเนียมสมาชิกและเปิดรับสมาชิกใหม่

ไลป์ซิก 2016

วันที่ 30 เมษายน 2014 เป็นครั้งแรกที่สโมสรได้ยื่นอุธรณ์ต่อ DFL แต่ก็ถูกปฎิเสธไป และพวกเค้าได้ยื่นอุธรณ์อีกครั้งในวันที่ 12 พฤษภาคม 2014 โดยจะมีการตัดสินในวันที่ 28 พฤษภาคม 2014 ฤดูกาล 2014-2015 พวกเค้าลงทุนซื้อนักเตะเข้ามาในทีมด้วยเงินกว่า 12 ล้านยูโร ฤดูกาลนั้นพวกเค้าจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 5 ฤดูกาล 2015-2016 พวกเค้าใช้เงินซื้อผู้เล่นอีกกว่า 18.6 ล้านยูโร มากที่สุดในบุนเดสลีกา 2 พร้อมกับดึงนักเตะเก่งๆจาก เร้ดบลู ซัวส์บวร์ก สร้างความไม่พอใจให้กับแฟนบอลในออสเตรียอย่างมาก วันที่ 8 พฤษภาคม 2016 อาร์บี ไลป์ซิก เปิดเร้ดบลู อารีน่า เอาชนะทีม คาร์ลสรูเฮอร์ 2-0 คว้าอันดับ 2 ของตารางพร้อมสิทธิเลื่อนชั้นสู่บุนเดสลีกา ท่ามกลางแฟนบอลกว่า 42,559 คน หลังเลื่อนชั้นมีการฉลองของแฟนบอลที่หน้า มาร์เกต สแควร์ กว่า 20,000 คน หลังราล์ฟ รังนิกค์ ลาออกจากการคุมทีม สโมสรได้แต่งตั้ง ราล์ฟ ฮาเซนฮูต์ล เป็นผู้จัดการทีมแทนที่ ฤดูกาล 2016-2017 อาร์บี ไลป์ซิก เปิดตัวในบุนเดสลีกาได้ร้อนแรงมาก เมื่อทำสถิติทีมพิ่งเลื่อนชั้นที่ไม่แพ้ใครเลยใน 13 นัดแรก จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 2 ได้สิทธิเล่นยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ดีที่สุดที่ทีมจากเยอรมันตะวันออกเคยทำได้